รีวิว เด็กหอ
เด็กหอ เป็นภาพยนตร์ไทย แนวสยองขวัญที่ถูกนำเข้ามาฉายเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2549 กำกับการแสดงโดยทรงยศ สุขมากอนันต์ โดยภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการร่วมลงทุนของบริษัทยักษ์ใหญ่ถึง 3 บริษัท ได้แก่ GMM GRAMMY, Thai Entertainment, Hub Ho Hin แต่ปัจจุบันบริษัท Thai Entertainment พร้อมกับนักแสดงนำ จินตหรา สุขพัฒน์ (แหม่ม) แสดงเป็น ครูปราณี , ชาลี ไตรรัตน์ (แน็ก) แสดงเป็น ต้น หรือ ชาตรี , ศิรชัช เจียรถาวร (ไมเคิล) แสดงเป็น วิเชียร โดยเนื้อเรื่องถูกสร้างมาจากเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นจริงโดยเป็นเรื่องเล่าที่เคยได้ยินมาจากโรงเรียบ อัสสัมชัญ ศรีราชา โดยตัวละคร วิเชียรนั้น ก็มีอยู่จริงซึ่งเด็กคนนั้นได้ประสบอุบัติเหตุในขณะที่เรียนอยู่ที่โรงเรียนอัสสัมชัญ ซึ่งเด็กคนนั้นก็ชื่อวิเชียรเหมือนกัน นั้นจึงเป็นจุดเริ่มต้นและแรงบรรดาลใจให้กับผู้กับที่ได้กำกับภาพยนต์เรื่องนี้
หนังเรื่องนี้กำกับโดย ทรงยศ สุขมากอนันต์ (วัยรุ่นพันล้าน, ซีรี่ย์ Hormones) ผู้กำกับที่ผมมองว่าทำงานหนังกับนักแสดงรุ่นเด็กหรือวัยรุ่นแล้ว เขาจะสามารถดึงสักยภาพฝีไม้ลายมือของนักแสดงในรับบทออกมาได้ดีมาก แน็ก ชาลี ปอเจส จากแฟนฉันก็รับบทได้ดีมาก บทขยี้อารมณ์หรือจุดสะเทือนอารมณ์ก็แสดงออกมาได้อินมาก ยิ่งไปกว่านั้นอีกหนึ่งคนที่เล่นได้ดีไม่แพ้กันนั้นคือไมเคิล ศิรชัช ผมนับว่าเป็นตัวละครเซอร์ไพรส์ ที่สามารถทำให้ผมซึ้งและอินไปกับตัวละครนี้ได้ดีเลยทีเดียว …ส่วนพี่แหม่ม จินตหรา ในบทคุณครูก็นับว่าน่าสะพรึงและคาแรคเตอร์ส่งให้มีความน่ากลัวเข้าไปอีก
ซึ่งเนื้อหา และเรื่องราวของภาพยนตร์นั้นสามารถสื่ออารมณ์ได้เป็นอย่างดี ในหลายๆ ฉาก หลายๆ ตอนนั้นสอดแทรกให้ได้คิด การดำเนินเรื่องราวของภาพยนต์บอกได้เลยว่าชวนให้น่าติดตามเป็นอย่างมากทำให้ลุ้นได้ทุกฉากทุกตอน ในด้านตัวละครในเรื่องนั้นผู้กำกับได้เสนอในแง่มุมต่างๆ และสามารถดึงความเก่งความสามารถของนักแสดงออกมาได้อย่างชัดเจน เช่น ครูปราณีที่มีความรักลูกศิษย์มาก ถึงแม้จะมีความดุและความเข้มงวดมากก็ตาม แต่ในความดุและความเจ้าระเบียบก็แฝงไปด้วยความอ่อนโยนเช่นกันและสาเหตุที่ทำให้ครูปราณีมีนิสัยแบบนี้ก็เพราะเหตุการที่เกิดขึ้นกับลูกศิษย์อย่างวิเชียร ทำให้เธอโทษตัวเองว่ามีส่วนผิดนั้นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอนั้นมีความเข้มงวดมากขึ้นถ้านับว่า การบิ้วท์อารมณ์ของผู้ชมจะใช้เสียงดนตรีเป็นหลักซึ่งมันทำให้ภาพยนต์ให้ความรู้สึกผวาและน่ากลัวมากยิ่งขึ้น ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ถือเป็นหนังผีไทยอันดับต้นๆ ที่เราไม่ควรพลาดเช่นกัน
รีวิว เด็กหอ เรื่องย่อ
การเปิดเรื่องเปิดได้อย่างหน้าสนใจโดยเปิดมาที่ ชาตรี เด็กชายวัย 12 ปี ถูกพ่อแท้ๆส่งมาเรียนที่โรงเรียนประจำ เพราะเขาดันไปรู้ความลับของพ่อเขา ทำให้ต้องถูกย้ายโรงเรียนใหม่ตั้งแต่กลางเทอม โดยที่เขาต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ๆ และที่นอนที่เขาต้องพักอาศัยอยู่รวมถึงการปรับตัวเพื่อที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ พอเขามาถึงที่หอพัก ครูได้พาเขาไปที่เตียงแจ้กฎต่างๆของโรงเรียนให้เขารับทราและด้วยความที่เขาเป็นเด็กใหม่ที่ถูกย้ายมากลางเทอมทำให้เขาไม่มีเพื่อนเลยแม้แต่คนเดียวทำให้เขาชอบหนีไปอยู่สระว่ายน้ำเก่าๆหลังโรงเรียนคนเดียวบ่อยๆ และนั้นก็เป็นเหตุการณ์ทำให้เขาได้ไปรู้จักกับ วิเชียร เพื่อนร่วมห้องที่เหมือนจะรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับโรงเรียบนี้ หลังจากนั้นมิตรภาพระหว่างเพื่อนก็ได้เกิดขึ้น จนวันหนึ่งชาลีได้รู้ความจริงว่าวิเชียรไม่ใช่คน แต่เป็นผี ทำให้เขาถอยห่างออกจากวิเชียรด้วยความกลัว แต่เพราะความผูกพันธ์ และมิตรภาพระหว่างเพื่อนทำให้เขาได้เริ่มสืบค้นหาการตายของวิเชียร สาเหตุที่วิเชียรไม่ไปเกิดทำให้เขาได้ล่วงรู้ความลับของโรงเรียน เขาจึงได้หาวิธีเพื่อปลดปล่อยให้เพื่อนของรวมถึง การไปอธิบายช่วยให้ครูปราณีเลิกโทษตัวเองว่าตนเป็นสาเหตุที่ทำให้วิเชียรตาย จากนั้นเขาได้ไปถอดวิญญาณของตัวเองออกมาเพื่อไปช่วยเพื่อน หลังจากนั้นวิเชียรโดยได้ไปช่วยเพื่อนเขาจากการจมน้ำ ทำให้วิเชียรหลุดพ้นจากบวงกรรมและก็ได้ไปเกิดใหม่ โดยฉากตอนสุดท้ายแสดงให้เห็นถึงความรักความผูกพันธ์ของมิตรภาพระหว่างเพื่อนออกมาให้คนดูได้เห็นว่าทั้งคู่นั้นผูกพันธ์กันมากแค่ไหน
การดำเนินเรื่อง เนื้อเรื่อง หนังเรื่องนี้ทำออกมาได้ดีในระดับหนึ่งเลยครับ ความเป็นหนังผี ลูกล่อลูกชนในการหลอกหลอนก็นับว่าทำได้เยี่ยมยอด หลายๆ ฉากมีการบิ้วท์อารมณ์คนดูด้วยเสียงดนตรีเครื่องสี แบบหนังสยองขวัญเมืองนอกที่ชอบใช้กัน ซึ่งปัจจุบัน ในบ้านเราคงไม่ค่อยได้ใช้ดนตรีเครื่องสี ออเครสตร้าเป็นดนตรีประกอบในหนังผีสักเท่าไหร่นัก ซึ่งผมว่ามันให้อารมณ์ผวา ลึกลับได้ดีมากครับ
โครงเรื่อง (Plot)
ภาพยนตร์เรื่อง เด็กหอ มีการเปิดเรื่องได้น่าสนใจ คือเปิดเรื่องโดย พ่อของชาตรีได้พาชาตรีให้ไปอยู่ที่โรงเรียนประจำ ถือได้ว่าเป็นเหตุที่ทำให้ชาตรีไปพบกับวิเชียร และความลับที่ครูปราณีเก็บซ่อนเอาไว้รวมถึงเรื่องราวที่ไม่คาดคิดในโรงเรียน จนเกิดเป็นมิตรตราภาพ และความประทับใจ ระหว่างชาตรี วิเชียร และเพื่อน ๆ ในโรงเรียน
ความขัดแย้ง (Conflict)
ชาตรี เป็นคน ได้ไปเป็นเพื่อนกับ วิเชียร ที่เป็นผี โดยที่ชาตรีไม่รู้มาก่อน จนเมื่อชาตรีรู้ความจริงว่า วิเชียรไม่ใช่คนแต่ชาตรีก็ยังอยากเป็นเพื่อนกับวิเชียร จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการสืบหาการตายของวิเชียร และทำให้ตัวของชาตรีนั้นต้องช่วยเหลือวิเชียร จึงทำให้ได้รับรู้ถึงความลับของเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในโรงเรียน และยังทำให้ครูปราณีเลิกโทษตัวเองว่าตนเป็นสาเหตุที่ทำให้วิเชียรตาย ถือว่าเป็นการเล่าเรื่องที่ไม่ซับซ้อน แต่ผู้กำกับนำเสนอมาได้อย่างน่าสนใจ
ตัวละคร (Character)
ตัวละครในภาพยนตร์เรื่องนี้ ถือว่าเป็นตัวละครที่มีมิติโดยที่ผู้กำกับได้นำเสนอแง่มุมต่าง ๆ ของตัวละครไว้อบย่างเห็นได้ชัด เช่น ตัวละครครูปราณี ที่ดูน่ากลัวและมีความเข้มงวด แต่ในอีกแง่มุมหนึ่งตัวละครครูปราณีนั้นก็มีความอ่อนโยน และรักลูกศิษย์มาก บวกกับเหตุการณ์ที่วิเชียรตาย จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ครูปราณีต้องเข้มงวด
แก่นเรื่อง (Theme) แนวคิดหลักของภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่ที่ มิตราภาพที่แม้แต่ความตายก็ไม่อาจทำให้ความเป็นเพื่อนระหว่างชาตรี กับวิเชียร ต้องจบลงแต่กลับเป็นการเพิ่มความผูกพันธ์ขของมิตราภาพระหว่างชาตรี และวิเชียร
ฉาก (Setting)
ฉากในภาพยนตร์เรื่องนี้ส่วนใหญ่อยู่ที่ในโรงเรียนประจำแห่งหนึ่งในจังหวัดชลบุรี โดยส่วนใหญ่จะเป็นฉากตอนกลางคืน หรือหากเป็นฉากตอนกลางวันก็จะมีโทนสีหม่น ๆ เพื่อสร้างบรรยากาศในแบบของหนังสยองขวัญ
ความรู้สึกหลังดู
หนังเรื่องนี้เป็นหนังเรื่องที่สองที่ผมได้ดูในโรง โรคความเบื่อการดูหนังจะรุกไล่ผมไม่มีที่สิ้นสุด จนกระทั่งได้เมื่อคืนวันพุธ ได้ฟังหนังหน้าไมค์ ซึ่งพี่ย้ง ผู้กำกับ ได้มาให้สัมภาษณ์ ฟังแล้วก็เลยยิ่งอยากดู
ผมเลือกไปดูที่เมเจอร์ปิ่นเกล้า ช่วงสี่โมงครึ่ง เพราะคิดว่าคนคงน้อยกว่าไปดูแถวสยาม ที่ไหนได้ คนล่อไปครึ่งโรง ที่สำคัญมีแต่คนมาเป็นคู่ดูหนังกระหนุงกระหนิงกันมีความสุข ไอ้เรามาดูคนเดียวเสมอ หลอกตัวเองว่าดีแล้ว ไม่ต้องรอใครดี แต่ใจจริงนั้นชอกช้ำยิ่งได้เห็นใครเขานั่งกันประหนึ่งเขาพิงกัน ยิ่งชวนให้อกตรม…..
เพื่อไม่เป็นการเสียเวลา ขอข้ามเนื้อเรื่องไปเลยละกัน เพราะยังไงคนที่เข้ามาอ่านตรงนี้ก็น่าจะดูกันหมดแล้ว
เราชอบหนังเรื่องนี้ในแง่ของการเลือกธีมและคอนเซปท์ แม้หน้าหนังจะบอกว่าเป็นหนังผี แต่ความจริงหนังเรื่องนี้ เป็นหนังดราม่า ว่าด้วยเรื่องของ ชาตรี (หรือ ต้น)เด็กชายถูกส่งตัวให้ไปเรียนโรงเรียนประจำ เราไม่ค่อยเห็นหนังไทยเรื่องไหนที่จับเอาเรื่องชีวิต (แบบจริงจัง) มาผสมกับเรื่องผี เพราะหนังไทยส่วนใหญ่ ไม่เรื่องตลกกับผี ก็เรื่องรัก ไม่งั้นก็เลยไปหนังแบบฆาตกรรม
เราคิดว่าพี่ย้งสะท้อนคอนเซปท์ ‘การไร้ตัวตน’ ได้อย่างชัดเจน ชาตรีคิดและรู้สึกตัวอยู่เสมอเหมือนว่าเขาเป็นพวกที่อยู่ตัวคนเดียว ทั้งโลกไม่มีใครมองเห็น เป็นคนชายขอบของครอบครัว ชายขอบของโรงเรียน และชายขอบของโลกใบนี้
การสะท้อนการไร้ตัวตนที่ชัดเจนอะไรจะดีไปกว่าการสร้างตัวละครที่ไม่มีใครเห็นขึ้นมา ตัวละครอย่างวิเชียรเลยเกิดขึ้น ทั้งสองล้วนไม่มีตัวตนในสายตาคนอื่น วิเชียรตายแล้ว คนในโลกนี้คงไม่มีใครได้เห็นอีก ในขณะที่ชาตรีมีตัวตนทว่าก็เหมือนไม่มี
จากเริ่มแรกที่กลัว ชาตรีเริ่มเข้าใจความรู้สึกของวิเชียรทีละเล็กทีละน้อย ในที่สุดเขาก็เป็นเพื่อนกัน
เราชอบฉากที่เขาเฉลยในช่วงกลางเรื่องว่าวิเชียรเป็นผี (และเราคิดว่าหลาย ๆ คนคงชอบเช่นเดียวกัน) เราคิดว่าฉากนี้เป็นฉากที่ใส่เข้ามาได้ประสิทธิภาพที่สุดในหนังเรื่องนี้ ที่สำคัญเราไม่ค่อยเห็นฉากที่มีประสิทธิภาพเช่นนี้ในหนังไทยมากนัก
เริ่มฉากด้วยการจัดฉายหนังกลางแปลงเรื่อง “ผีกัดอย่ากัดตอบ” (ซึ่งพี่ย้งเอาน้องนิเทศมาเล่นหมดเลย เพราะไม่มีเงินซื้อลิขสิทธิ์ ที่สำคัญในนั้นมีน้องก้อยเล่นด้วย น่ารักคร้าบ) ในเรื่องนี้ถึงฉากที่ผีอาละวาด ตัวละครทั้งหลายสู้ไม่ได้ จึงหนีโดยการเอามืดปิดจมูกกลั้นลมหายใจ โดยเชื่อว่าถ้ากลั้นลมหายใจแล้ว ผีจะมองไม่เห็น เด็ก ๆ ทุกคนก็ทำตาม
ทันใดนั้นภาพก็ฉายให้เราเห็นจากมุมสูง ว่าในลานฉายหนังนั้นมีเพียงแค่วิเชียรและชาตรีสองคนเท่านั้น เนื่องจากเด็กคนอื่นปิดจมูกกลั้นลมหายใจกันหมด
ใช่แล้ว วิเชียรเป็นผี เป็นการเฉลยตัวละครว่าเป็นผีที่เลิศในระดับเดียวกับที่บรู๊ซ วิลลิสเก็บเหรียญไม่ได้ใน The Six Senses
อีกจุดเยี่ยมของหนังเรื่องนี้ คือหนังสร้างปมพร้อมปูเรื่องให้เราเห็นอดีตของตัวละครหลักสามตัว ไม่ว่าจะเป็น ชาตรี วิเชียรและครูปราณี ทุกอย่างที่ปรากฎในหนังสัมพันธ์กันและที่สำคัญมีเหตุมีผลสำคัญให้ใส่มันลงไป มิใช่ว่าอยากใส่ก็ใส่ เราคิดว่าการที่ตัวละครทั้งสามตัวมีเบื้องหลังชีวิตซึ่งทำให้คนดูเข้าใจความรู้สึกของตัวละครมากขึ้น ยิ่งทำให้คนดูคล้อยตาม
อีกฉากที่เราชอบ คือฉากที่ทั้งสองตัวละครเดินหนีโรงเรียน กล้องถ่ายตัวละครออกมาเห็นแต่เงาที่ถูกบีบเหมือนกับเป็นมนุษย์ต่างดาว มันสะท้อนให้เห็นความรู้สึกของทั้งสองว่าเขาคือคนอื่น เขาคือคนที่ในสังคมไม่เคยเห็นตัว
รีวิว บทสรุปและการตีความของภาพยนตร์เรื่อง เด็กหอ
แก่นของหนังเรื่องนี้ต้องการสื่อถึงมิตรภาพที่สวยงามที่แม้แต่ความตายก็ทำอะไรพวกเขาไม่ได้ ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้ได้เปิดเรื่องมาที่พ่อของชาลีได้ส่งชาลีไปเรียนที่โรงเรียนประจำซึ่งนั้นก็เป็นสาเหตุ หรือ จุดเริ่มต้นของการพบเจอกันของชาลีและวิเชียร ทำให้เรื่องราวต่างๆได้เกิดขึ้น โดยภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้เน้นถึงฉากผีที่หลอนจนขนลุก และผีในเรื่องไม่ได้มีความอาฆาตหรือการตามล้างแค้นใคร แต่เป็นการกล่าวถึงเรื่องราวของมิตรภาพของเด็ก2 คนที่มีให้ต่อกันแบบเพื่อน โดยจะสื่อให้เห็นถึงแง่มุมต่างๆของตัวละคร โดยฉากส่วนใหญ่จะอยู่ที่สระน้ำแห่งหนึ่งในโรงเรียนประจำแห่งหนึ่งในจังหวัดชลบุรีและฉากที่เอามาฉายส่วนใหญ่จะเป็นฉากตอนกลางคืนหากเป็นฉากไหนต้องถ่ายทำตอนกลางวันก็จะเป็นโทนสีหม่นๆเพื่อสร้างความสยองขวัญให้กับหนัง การเล่าเรื่องราวที่ไม่ซับซ้อนจนเกินไป ผู้กำกับสามารถเสนอเรื่องราวออกมาได้อย่างน่าสนใจ โดยการดำเนินเรื่องนั้นผู้กำกับจะสร้างปมให้คนดูได้แก้และติดตามและค่อยๆ เฉลยทุกอย่างมาในฉากสุดท้ายซึ่งถือว่าทำออกมาได้ดีเลยทีเดียว
ภาพยนตร์เรื่องนี้เคยถูกวิจารณ์ในเว็ปพันทิปว่าเป็นหนังที่มีเค้าโครงคล้ายกับภาพยนต์สเปนเรื่อง EI Espinoza del diablo(The Devil’s backbone) แต่ผู้กำกับอย่างทรงยศได้ออกมากล่าปฏิเสธแล้วบอกไปว่าเรื่องรวามของภาพยนต์เรื่องวเด็กหอนี้ตนเองได้รับแรงบรรดานใจมาจากเรื่องเล่าที่เคยได้ยินมาขณะที่เรียนอยู่ที่โรงเรียนอัสสัมชัญศรีราชาเท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเกี่ยวข้องกับหนังสเปนเรื่องนี้แต่อย่างไร