รีวิว gerald’s game
ดูหนังเถื่อน Gerald’s Game เกมกระตุกขวัญ วิลเลียม โกลด์แมน นักเขียนบทชื่อดังของฮอลลีวู้ด เจ้าของผลงานอย่าง Butch Cassidy and Sundance Kid (1969) เคยเขียนไว้ในหนังสือ Which Lie Did I Tell? ซึ่งเป็นเสมือนบทบันทึกด้านงานเขียนบทของเขาเมื่อปี ค.ศ.2000 ว่ามีบทประเภทหนึ่งที่ต่อให้เนื้อเรื่องดียังไงเขาจะไม่เขียนเด็ดขาด นั่นคือบทหนังที่ให้ตัวละครเพียงคนเดียว ติดอยู่ในสถานการณ์หนึ่งเพียงที่เดียวตลอดเกือบทั้งเรื่อง นั่นก็เพราะมันเป็นเรื่องยากทีเดียวที่จะทำให้คนดูสนุก หรือลุ้นไปกับเหตุการณ์ตรงหน้าได้โดยหาสถานการณ์ที่น่าเชื่อถือมาแทรกไว้ได้ตลอดเรื่อง รีวิว gerald’s game รีวิวหนังผี ดูหนังออนไลน์ ดูหนังฟรี
แต่ความยาวของข้อจำกัดนี้ก็มักมีคนทำหนังชอบเสี่ยงกับการทำหนังในลักษณะเดียวกันนี้อยู่เรื่อยๆ งานที่นึกออกได้ทันทีคือ Phonebooth(2003) ของ โจเอล ชูมัคเกอร์ ที่ให้ตัวเอกต้องตรงอยู่ในตู้โทรศัพท์สาธารณะที่มีคนข่มขู่เขาให้อยู่ในตู้ดังกล่าวเกือบทั้งเรื่อง ซึ่งบ่อยครั้งเราจะพบว่าหากผู้สร้างรู้จักสิ่งที่กำลังจะเล่า เราจะได้ชมหนังที่สนุกอย่างคาดไม่ถึง
Gerald’s Game เป็นผลงานดัดแปลงจากนิยายชื่อเดียวกันของ สตีเฟน คิง ในปี ค.ศ.1992 ซึ่งกำหนดเนื้อเรื่องให้อยู่ภายใต้สถานการณ์พื้นที่จำกัดได้อย่างฉลาดเรื่องหนึ่ง
หนังพาเราไปรู้จักสามีภรรยาคู่หนึ่งเลือกจะลาไปใช้ชีวิตในบ้านกลางป่าห่างไกลผู้คนช่วงพักร้อน กระท่อมที่ร่มรื่นเต็มไปด้วยอาหาร และสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เห็นได้ชัดว่าผู้เป็นสามีนั้นมีอันจะกิน ที่มาพักร้อนห่างไกลความเจริญเช่นนั้นก็เพื่อหวังจะมีเซ็กส์ที่สุขสมร่วมกันให้ได้หลังจากที่ผ่านมาไม่เคยประสบผล โดยเจอรัลด์-สามีของเธอนั้นอายุไม่น้อยแล้ว แต่เพราะไม่เคยสุขสมกับภรรยาสักครั้ง เขาจึงอะไรคิดวิตถารที่เชื่อว่าจะทำให้เจสซี่ภรรยาของเขามีความสุขกับสิ่งนั้นได้
มันคือการเล่นเกมแบบ BDSM จับเธอใส่กุญแจมือที่แขนทั้งสองข้างเธอมัดกุญแจกับหัวเตียง แต่เพียงเริ่มลองรักเช่นนั้นได้ไม่นาน เธอก็รู้แล้วว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่ตนปรารถนาแน่ๆ …ทว่าน่าเสียดายขณะมีปากเสียงกับเขา ชายวัยกลางคนที่กินยากระตุ้นมากเกินพอดีก็เกิดหัวใจวายไปต่อหน้าต่อตา สถานการณ์ของเธอเลวร้ายยิ่งยากจะหลุดจากพันธนาการในกลางป่าลึก ไม่รู้จักใคร ไม่มีเพื่อนที่สนิทพอจะติดต่อมา โทรศัพท์มือถือแบตเตอรี่ก็ใกล้หมด แถมยังมีหมาหิวโหยที่เธอใจดียื่นเนื้อให้มันที่หน้าบ้านเดินมาวนเวียนเข้ามาไม่ไกลนัก…
ไมค์ ฟลานาแกน หนึ่งในผู้กำกับหนังสยองขวัญที่ต้องเรียกว่ามือขึ้นอย่างในยุคปัจจุบัน(ผลงานเด่น เช่น Before I Wake ในปี 2016 และ Doctor Sleep ในปี 2019) มาทำหนังให้กับ Netflix และต้องนับว่ามือยังไม่ตก เขาเข้าใจวิธีการใส่ลูกล่อลูกชนในสถานการณ์ที่มีตัวละครและสถานที่จำกัดให้สามารถลุ้นระทึกตลอดทั้งเรื่อง หากเดินเรื่องช้าและนิ่งไป ในฐานะหนังเขย่าขวัญเรื่องหนึ่งมันอาจจะไปต่อไม่ได้
บทจึงเลือกให้ตัวละครพูดกับตัวเอง กลายร่างเป็นเธออีกคนที่คอยมาแนะนำ มีสามีจำแลงอีกคนมาพูดจาเย้ยหยัน สนทนากับเธอตลอด ก่อนจะผลักพาให้เธอไปเจอกับอดีตที่อยากจะลืม แต่ยังไม่พอตกดึกกระท่อมแห่งนี้ก็มาพร้อมกับฝันร้ายที่ต้องพบพากับอสูรกายตนหนึ่งที่ปรากฎตัวพร้อมกับพระจันทร์ ที่เมื่อสำรวจชีวิตทั้งชีวิตของตนแท้จริงแล้วมันไม่ใช่สถานการณ์ที่มาจากความคิดบ้าๆ ของสามีถ่ายเดียว หากเธอเองก็มีส่วนอย่างยิ่งที่ผลักให้ตนมาเผชิญกับสถานการณ์ที่หัวเราะไม่ออกแบบนี้
คาร่า กูจิโน่ นักแสดงนำของเรื่องอายุจะ 50 แล้วแต่ยังดูดีอยู่ ไม่น่าแปลกใจที่แม้จะไม่ได้โด่งดังแต่ในยุคหนึ่งเธอเคยเป็นนักแสดงสาวเซ็กซี่ที่มีบทวาบหวามอยู่หลายเรื่อง นี่เป็นบทที่พิสูจน์เธออย่างยิ่งเนื่องจากหนังแทบจะอยู่กับเธอตลอดทั้งเรื่อง ในอีกด้านหนึ่งสรีระ และความสวยที่เลยวัยสาวทำให้เราเชื่อได้ว่าสามีของเธอยังมีหลงใหล แต่ในขณะเดียวกันริ้วรอยอันโรยราก็ถูกใช้ประโยชน์ขับเน้นอารมณ์ความหวาดกลัว และเจ็บปวดขณะถูกพันธนาการได้เป็นอย่างดี
ขณะที่ฉากสุริยุปราคาถูกนำมาใช้เป็นสัญลักษณ์ของเรื่อง การถูกล่วงละเมิดทางเพศ (เงาจากดวงจันทร์ที่มาบดบังดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นเสมือนด้านมืดในชีวิตที่มาทำลายคนๆ หนึ่ง และครอบครัวให้พังทลายลง) นั้นชวนให้นึกถึงหนังที่ดัดแปลงจากงานของสตีเฟ่น คิงอีกเรื่องคือ Dolores Claiborne(1995) สองประเด็นนี้คล้ายกันมากเพราะเกี่ยวกับตัวเอกหญิงที่พยายามกอบกู้ชีวิตที่ล้มเหลวจากปมในครอบครัว
น่าเสียดายว่าแค่สถานการณ์การหนีตายของเธอก็น่าสนใจและสนุกเพียงพอแล้ว แม้หนังจะไม่ได้เล่นกับเรื่องการจำกัดสถานที่ทั้งหมดก็ตาม(หนังมีฉากย้อนอดีตของตัวเอกในเรื่องแทรกเข้ามากลางเรื่อง) แต่เพราะหนังน่าจะเลือกดัดแปลงให้ตรงกับนิยายต้นฉบับ ช่วงท้ายที่พอเฉลยเหตุการณ์ทุกอย่างก็มีรายละเอียดอื่นๆ เพิ่มเข้าไปจนรู้สึกว่ามันกลายเป็นส่วนเกินไปอย่างช่วยไม่ได้
Gerald’s game เป็นหนังที่สร้างมาจากบทประพันธ์ของ Stephen King เราได้ดูหนังเรื่องนี้จาก Netflix เป็นเรื่องของผู้หญิงที่ชื่อ เจสซี่ ได้แต่งงานกับสามีที่มีอายุมากกว่า มานาน 11 ปี และเริ่มมีปัญหาครอบครัวกัน สามีชื่อ Gerald จึงพาเจสซี่ไปเที่ยวที่บ้านพักตากอากาศที่อยู่ห่างไกลผู้คน ทั้งสองสัญญากันว่าจะต้องใช้โมเม้นท์นี้ในการสานสัมพันธ์ครอบครัว ให้กลับมามาความสุขเหมือนเดิมให้ได้
แต่โชคไม่เข้าข้าง Gerald หัวใจวายตายระหว่างที่ทั้งสองกำลังทะเลาะกันเรื่องเกมของ Gerald ซึ่งเกี่ยวกับบทบาทรักบนเตียง โดยที่ข้อมือทั้งสองของเจสซี่ถูกล๊อคไว้กับเสาหัวเตียงด้วยกุญแจมือที่ Gerald เตรียมมาสำหรับเกมนี้
เจสซี่ต้องหาทางเอาชีวิตรอดจากการถูกล๊อคไว้บนเตียง โดยที่มีศพของสามีนอนตายอยู่บนพื้นที่ปลายเตียง และยังมีหมาจรจัดที่หิวโหยคอยแอบมาแทะศพสามีของเธอไปทีละนิด เธอคิดว่าอีกไม่นาน หมาตัวนั้นก็จะต้องเข้ามาจู่โจมเธอด้วยความหิวโหยด้วย
หลังจากตะโกนขอความช่วยเหลือนานต่อเนื่อง 7 ชั่วโมง เจสซี่เริ่มหิวน้ำ และเกิดภาพหลอนเธอเห็นสามีของตัวเองฟื้นคืนชีพ เห็นร่างตัวเองออกมาเดินได้อย่างอิสระไร้พันธนาการ ภาพหลอนทั้งสองเริ่มต้นพูดคุยกับเจสซี่
ภาพหลอนพูดถึงปมต่างๆ ในชีวิตของเธอ พูดถึงเรื่องที่เธอคอยหลบเลี่ยงปัญหาต่างๆ ในชีวิตตลอดมา ไม่ว่าจะเป็นปัญหาที่เกิดจากพ่อของเธอ ปัญหาที่เกิดจากตัวเธอเอง และปัญหาทีเกิดจากสามีของเธอ
ภาพหลอนทั้งสอง ได้ท้าทาย ให้เธอหนีปัญหาอีกครั้งด้วยการยอมตาย แต่ถ้าอยากรอดเธอก็ต้องลุกขึ้นมาต่อสู้ให้ตัวเองมีชีวิตรอดกลับออกไปเจสซี่ไม่อยากตาย… นี่จึงเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เธอจะต้องลุกขึ้นมาต่อสู้กับปัญหา
คืนนั้นระหว่างที่เจสซี่ได้คิดหาวิธีการเอาชีวิตรอด เธอได้พบกับฆาตกรโรคจิต ที่ถือกล่องใส่เครื่องประดับ และชิ้นส่วนอวัยวะต่างๆ ของมนุษย์ เจสซี่กลัว และลนลาน เธอพยายามพูดกับฆาตกรว่า “You are not real” นายเป็นแค่การล้อเล่นของแสงจันทร์ เธอคิดว่าแสงจันทร์ และอาการขาดน้ำทำให้เธอตาฝาด มองเห็นภาพหลอนขึ้นมาอีก เธอหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย
เช้าวันรุ่งขึ้นเธอตื่นขึ้นมาด้วยความเจ็บปวดจากตะคริว และอาการเลือดไม่ไปหล่อเลี้ยงข้อแขน เธอยังเจอภาพหลอนเดิมๆ คอยพูดถึงประเด็นที่เธอชอบหนีปัญหาอยู่เรื่อย หนังดำเนินไปแบบค่อยๆ คลายปมในใจของตัวละครเจสซี่ ว่าเธอเคยมีปัญหาอะไรมาบ้าง ทั้งเรื่องที่เธอเคยถูกพ่อทำอนาจาร และเรื่องสามีที่มีชีวิตไม่เป็นไปในแบบที่เธอคิดไว้ และเธอหนีปัญหาต่างๆ มาอย่างไร
ภาพหลอนทั้งสองพูดให้เจสซี่คิดถึงฆาตกรโรคจิตคนเมื่อคืน บอกให้เจสซี่ดูรอยเท้าของฆาตกร ว่าเขามีจริง เข้ามาในห้องจริงๆ และคืนนี้ เขาจะกลับมาอีกครั้ง เจสซี่จะมั่นใจได้อย่างไรว่ารอบนี้เขาจะไม่ฆ่าเธอ… นั่นทำให้เจสซี่ยิ่งลนลาน และต้องรีบหาทางทำให้ตัวเองหลุดออกจากกุญแจมือนี้ให้ได้
สุดท้ายเจสซี่หนีออกมาด้วยการเฉือนเอาหนัง และเนื้อที่หุ้มกระดูก ออกจากบริเวณมือ และข้อมือ เพื่อให้มือหลุดออกมาจากกุญแจมือ และวิ่งลงมาด้านล่างของบ้าน พบกับฆาตกรโรคจิตที่ยืนรออยู่ที่ประตู เธอถอดแหวนแต่งงานใส่ลงในกล่องเครื่องประดับที่ฆาตกรโรคจิตถือไว้ และพูดประโยคเดิมๆ กับฆาตกรว่า “You are not real”
หลังจากที่หนีออกมา เจสซี่ได้รับการช่วยเหลือ และได้รับการปลูกถ่ายเนื้อเยื่อทำให้อาการที่ข้อมือเริ่มหายดี แต่ยังไม่เป็นปกติ เธอได้ตั้งมูลนิธิเกี่ยวกับเด็กเพื่อช่วยเหลือเด็กๆ ที่มีประสบการณ์แบบเธอ
ตอนท้ายเรื่อง เธอพบว่าฆาตกรที่เธอพบในคืนวันที่เธอติดอยู่ในบ้านพักตากอากาศนั้น มีตัวตนอยู่จริง ฆาตกรโดนจับได้ และกำลังถูกดำเนินคดี เธอจึงเดินทางไปพบฆาตกรคนนั้นในวันพิพากษาคดี
ตอนที่เธอได้ัพบกับฆาตกรในศาล ภาพของบุคคลที่เคยเป็นปัญหาสำหรับเธอผุดขึ้นมาซ้อนทับใบหน้าฆาตกร ทีละหน้า ทีละหน้า ฆาตกรนั้นจำเธอได้ และได้พูดกับเธอ ด้วยคำพูดของเธอตอนนั้นว่า “You are not real” และประโยคสุดท้ายที่เจสซี่ได้พูดกับฆาตกรคนนั้น ก่อนที่หนังจะจบก็คือ “You are so much smaller than I remember”
บอกตรงๆว่าเรื่องนี้เป็นหนังที่เกินความคาดหมายสำหรับแอดมินมาก ตอนที่รู้พล็อตเรื่องของหนังครั้งแรกก็รู้สึกว่าน่าสนใจดี ประมาณว่ามันจะเป็นยังไงนะ ถ้ามีตัวละครถูกล็อคอยู่บนเตียงแล้วมีศพอยู่บนตัว เอิ่ม… มันต้องหยะแหยงแน่นอน ก่อนดูแอดมินคิดแค่ว่านางเอกจะเอาตัวรอดยังไง จะเน่าตายกลายเป็นศพด้วยมั้ย?
แต่กลายเป็นว่าเรื่องนี้มันสอนอะไรยิ่งกว่านั้น เป็นหนังแนวจิตวิทยา ที่นอกจากการเอาตัวรอดจากเตียง ก็มีแง่คิดอะไรหลายๆอย่าง การหนีจากความจริง การหลอกตัวเอง การถูกไซโค มีเรื่องของถูกการล่วงละเมิดทางเพศ การยอมให้คนอื่นกระทำ โดยที่สามารถต่อสู้ขัดขืนได้ แต่ก็ไม่ยอมทำอะไรได้แต่เฉยๆยอมรับมันไป
สำหรับคนที่อยากดูเฉยๆแบบไม่ต้องคิดอะไรก็ได้นะ หนังเล่าเรื่องสนุกดีเหมือนกัน แปลกแบบไม่เหมือนหนังเรื่องอื่น แถมยังมีตัวละครลับโผล่มาให้สงสัยอีกด้วย แต่ถ้าจะให้ตีความเรื่องนี้เอาเป็นว่า 10 คนคิด 10 อย่างแน่นอน สำหรับแอดมิน คิดว่าเรื่องนี้เป็นหนังสอนใจแนวเปรียบเทียบ ที่เปรียบเปรย ความรัก ไว้ว่าเหมือนการที่คนสองคนถูกล็อคไว้ด้วยกัน และการเก็บความลับก็เหมือนเป็นการล็อคตัวเองไว้ในห้วงเวลาหนึ่ง ใช่หรือเปล่านะ คนอื่นละคิดว่าไง?
ส่วนของความโหดฉากสยองในเรื่อง อาจจะมีไม่ถึงนาที แต่แอดมินดูแล้วจะเป็นลม แบบนางทำไปได้ไง ห่ะ! กล้ามาก โอ๊ยยยยย หวาดเสียวสุดๆ ความรู้สึกแบบว่าฉากนี้มันช่างยาวนาน ดูแล้วลุ้นจนหัวใจจะวายคล้ายจะเป็นลม เหมือนตอนไปบริจาคเลือดแล้วหน้ามืด เพราะลืมกินน้ำแดง เพราะฉะนั้นตอนดูเรื่องนี้อยากลืมอย่าลืมกินน้ำแดงด้วย (สำหรับคนที่เลเวลเยอะแล้ว ดูหนังโหดเลือดสาดจนชิน กินข้าวไปบ่นไปได้ ไม่ต้องมาบอกนะว่าดูฉากนั้นแล้วเฉยๆไม่เห็นมีไรเลย แค่เงียบๆไปก็พอ โอเค?)