รีวิว Phone Booth – วิกฤตโทรศัพท์สะท้านเมือง
หนุ่มกะล่อนดวงซวยถูกขู่ฆ่าในตู้โทรศัพท์ใจกลางเมืองนิวยอร์ก เป็นเรื่องราวของ “สตู เชฟเพิร์ด” นายหน้าโฆษณาที่มีนิสัยปลิ้นปล้อนหลอกลวงคนอื่น แถมยังนอกใจภรรยาของตัวเอง ซึ่งในทุก ๆ วันเขามักจะแวะใช้ตู้โทรศัพท์เพื่อโทรหาชู้รัก แต่เเล้วความซวยก็มาเยือนเมื่อเขาดันไปรับสายในตู้โทรศัพท์แห่งหนึ่ง และโดนปลายสายข่มขู่ว่า ‘ห้ามวางสายเด็ดขาด ถ้าไม่อยากโดนยิงตาย’ แม้ว่าในหนังพระเอกของเราจะคุยอยู่ในตู้โทรศัพท์แทบตลอดทั้งเรื่อง แต่ด้วยพล็อตที่สนุกและมีบทสนทนาตื่นเต้น กดดัน ทำให้หนังเรื่องนี้สนุกกว่าที่หลายคนคาดไว้เลยค่ะ
ผู้กำกับ Joel Schumacher
ปีที่ฉาย 2002
ความยาว 1 ชั่วโมง 21 นาที
คะแนน IMDb 7
รีวิว Phone Booth – วิกฤตโทรศัพท์สะท้านเมือง
อันที่จริงมันควรจะเป็นหนังเก่าแก่แล้วด้วยซ้ำเพราะว่าพล็อตเรื่องที่เขียนโดย Larry Cohen มีแนวคิดมาตั้งแต่ช่วงยุค 60s แล้ว แถมยังเคยนำไปเสนอผู้กำกับระดับตำนานอย่าง Alfred Hitchcock มาก่อนจนทั้งกลายเป็นที่น่าสนใจอยากจะสร้างเป็นหนังจริงๆจังๆขึ้นมา แต่เกิดปัญหาเรื่องทางด้านเนื้อเรื่องที่ยังหาความสมเหตุสมผลไม่ค่อยได้ และปัญหานั้นมาจากการทำยังไงให้คนถูกกักอยู่ในตู้โทรศัพท์ จะว่าลอยๆเหมือนใน The Birds (1963) ก็ไม่ได้(อันที่จริงการจู่โจมของนกมีเหตุผลซ้อนอยู่เพียงแค่ว่าแรงจูงใจยังไม่กระตุ้นผู้ชมในบางคนมากเท่าไหร่จึงเหมือนนกบ้าคลั่งมากกว่า) เมื่อความสมเหตุสมผลหาไม่ได้งานจึงพับเก็บยาวนานจนผ่านไปประมาณ 30 ปีต่อมาก็ได้ไอเดียที่น่าสนใจ
ซึ่งเจ้าไอเดียนี้มาจากการนำมือปืนเข้าไปเอี่ยวด้วย พูดง่ายๆคือที่โดนกักอยู่ในตู้โทรศัพท์เป็นเพราะโดนมือปืนที่ซุ่มยิงแอบอยู่ที่ไหนสักที่กำลังขู่บางอย่าง พอได้แนวๆนี้จึงเสนอแล้วได้ไฟเขียวบอกตกลงให้สร้างได้ในที่สุด แต่น่าเสียดายที่เจ้าเก่าที่อยากสร้างก็ไม่อยู่เสียแล้วจึงได้ผู้กำกับอีกคนหนึ่งคือ Michael Bay และเหมือนจะมี Will Smith มาร่วมเล่นซะด้วย(นี่ถ้าคิดเล่นๆตัวหนังคงไม่ใช่แค่อยู่ในตู้โทรศัพท์แน่นอน หรือจะมีระเบิดเผากระท่อมรอบตู้ก็เป็นได้) ทว่าข่าวเงียบไร้วี่แววไม่ก้าวหน้าจนสุดท้ายผู้กำกับ Joel Schumacher ที่เกือบแจ้งจบใน Batman & Robin (1997) มาคว้างานนี้เองเพื่อแก้หน้า และกลายเป็นหนังที่เจ๋งกว่างานก่อนหน้านี้หลายเท่าจริงๆ ดูหนัง
เรื่องย่อ
การรับโทรศัพท์อาจเปลี่ยนชีวิตคุณ แต่สำหรับชายคนหนึ่ง มันอาจจบชีวิตเขาลงได้ด้วยซ้ำ… เรื่องราวเกิดขึ้น ในตู้โทรศัพท์สาธารณะแห่งหนึ่ง ในนิวยอร์กซิตี้ สตู เชพเพิร์ด (โคลิน ฟาร์เรลล์) ที่ปรึกษาสื่อโฆษณาให้เช่าราคาย่อมเยา ซึ่งต้องติดกับดัก เมื่อได้รับการข่มขู่ทางโทรศัพท์ จากฆาตกรต่อเนื่อง ซึ่งมีปืนลอบยิงไรเฟิล ว่าเขาจะถูกยิงตาย หากเขาวางหู
ถ้าเป็นคุณ จะทำอย่างไร เมื่อเดินผ่านโทรศัพท์สาธารณะที่กำลังดังอยู่? ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าต้องต่อมาผิด แต่ด้วยสัญชาตญาณ เขาจำต้องยกหูขึ้น แน่ละเมื่อโทรศัพท์ดัง ก็ย่อมต้องมีคนรับ แต่เมื่อ สตู เชพเพิร์ด รับสายขึ้นมา เขากลับพบว่า ตนเองตกอยู่ในเกมอันลดเลี้ยว ถ้าวางหูก็ตายสถานเดียว นั่นคือสิ่งที่ “ผู้โทรเข้ามา” (ไคเฟอร์ ซุทเธอร์แลนด์) บอกกับเขา
การกระทำอุกอาจเขย่าขวัญ ดึงดูดเจ้าหน้าที่ตำรวจ และกองกำลังสนับสนุนแม่นปืน มายังสถานที่เกิดเหตุ พวกเขาพากันคิดว่า สตูเป็นบุคคลอันตรายพร้อมอาวุธปืน แต่หารู้ไม่ถึงเจ้าของเสียงปลายสายที่มองไม่เห็นตัว
เจ้าหน้าที่อาวุโส ผู้กองเรมี่ (ฟอเรสต์ วิทเทคเกอร์) พยายามเกลี้ยกล่อม ให้สตูออกมาจากตู้โทรศัพท์ แต่สิ่งที่เรมี่และกองกำลังของเขาไม่รู้ก็คือ บรรดานักข่าวช่างภาพ ที่ได้พากันมากลุ้มรุมอยู่รอบสถานที่ ร่วมด้วย เคลลี่ (ราดาห์ มิตเชลล์) ภรรยาของสตู อีกทั้ง พาเมล่า (เคธี่ โฮล์มส) ลูกค้าและว่าที่แฟนสาวของเขา ซึ่งฆาตกรเห็นพวกเขาทั้งหมดได้ ผ่านกล้องส่องแรงสูง จากปืนไรเฟิลของเขา
ขณะที่ยามบ่ายคล้อยเคลื่อนเข้าสู่สนธยา สตู ตกอยู่ท่ามกลางเหตุการณ์ อันขัดต่อหลักจริยธรรม และจำต้องเผชิญกับเรื่องฉุกเฉิน เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้ได้ เขาถูกกดดันทางอารมณ์โดยปลายสาย ซึ่งคำโกหก ครึ่งจริงครึ่งเท็จ และวิธีการอื่นใดของสตู ไม่สำคัญอีกต่อไป สิ่งที่เขาต้องทำคือ ขุดลึกลงไปในจิตวิญญานของตนเอง เพื่อให้พบกับพลังให้เพียงพอ ที่จะต่อสู้กับอีกฝ่าย อันเป็นการก้าวล้ำ เข้าไปสู่อันตรายที่มากขึ้นกว่าเดิม ดูหนังออนไลน์
เนื้อเรื่อง
Phone Booth เรื่องนี้มันส์มากมายครับ ชอบตั้งแต่สมัยดูในโรง ถือเป็นอีกหนึ่งผลงานชั้นดีของผู้กำกับ Joel Schumacher ผู้ล่วงลับ
เรื่องของ สตู เชฟเพิร์ด (Colin Farrell) ชายหนุ่มจอมเห็นแก่ตัวที่ทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง แล้วความซวยก็มาถึงครับ เมื่อเขาดันไปรับโทรศัพท์ในตู้แห่งหนึ่งเข้า จากนั้นเขาก็โดนดึงเข้าไปสู่เกมนรกที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง เมื่อปลายสายบอกมาว่า หากกล้าก้าวออกไปจากตู้ ก็จะโดนยิงตายคาที่ทันที
หนังดูเป็นอะไรที่สมัยใหม่อยู่ แต่เชื่อมั้ยครับว่าจริงๆ แล้วพล็อตเรื่องนั้น Larry Cohen ผู้เขียนบทเขาคิดไว้ตั้งแต่ช่วงปี 1960 แล้ว ตอนนั้นเขาได้คิดบทเรื่องนี้ขึ้น และเอาไปเสนอต่อผู้กำกับ Alfred Hitchcock ซึ่งทั้งเขาและ Hitchcock ก็อยากจะทำหนังเรื่องนี้มากเลยครับ แต่เผอิญยามนั้นพวกเขายังหาอะไรที่มันสมเหตุสมผลไม่ได้ ว่าจะทำไงให้คนต้องโดนกักอยู่ในตู้โทรศัพท์ งานตอนนั้นเลยพับไป
พอมาถึงช่วงยุค 90 Cohen ก็คิดได้ว่าจะเอาเรื่องเกี่ยวกับมือปืนสไนเปอร์ใส่ลงมาเพื่อเป็นเหตุผลว่าทำไมตัวละครถึงต้องโดนกักอยู่ในตู้ พอพล็อตได้ที่ทีนี้ก็เอาไปเสนอ ก็ปรากฏว่าโปรเจคท์ได้ไฟเขียวครับ และผู้กำกับรายแรกที่สนใจจะมาทำก็คือ Schumacher นั่นเอง แต่ในที่สุดเขาก็เป็นฝ่ายบอกปัดเพราะอยากไปกำกับ Flawless (นำแสดงโดย Robert De Niro และ Philip Seymour Hoffman) มากกว่า
ผู้กำกับรายต่อๆ มาก็คือ Mel Gibson, Steven Spielberg, Allen Hughes และ Albert Hughes (รายหลังนี้โบกมืออำลาเมื่อโปรเจคท์ From Hell ของพวกเขาได้ไฟเขียว) และมีข่าวว่าจะให้ Michael Bay มากำกับ และมี Will Smith มาแสดงด้วย แต่พอเวลาผ่านไป ยังไม่มีอะไรคืบหน้าโปรเจคท์เลยไม่ไปไหนครับ จน Schumacher กำกับเรื่อง Flawless เสร็จ เขาเลยกลับมาจับงานนี้อีกครั้ง หนัง4k
รีวิว Phone Booth – วิกฤตโทรศัพท์สะท้านเมือง
ผลที่ได้คือความสนุกและลุ้นตลอด 78 นาทีของหนังครับ หนังกดดันและระทึกมากๆ ซึ่งก็ต้องชมที่การแสดงของ Farrell ด้วยครับ พี่แกเล่นได้ยอดมากๆ พอๆ กับ Forest Whitaker ในบทสารวัตรแรมซี่ย์ที่หาทางช่วยพระเอกอยู่ ส่วนดาราสาวอีกสองคนในเรื่องก็คือ Radha Mitchell ในบท เคลลี่ ภรรยาของสตู และ Katie Holmes ในบทพาเมล่า แมคเฟดเดน นักแสดงสาวที่สตูตั้งใจจะหาเศษหาเลยกับเธอ แต่ละคนก็ทำหน้าที่ได้ดีครับ
แต่คนที่ต้องเรียกว่าอภิมหาเยี่ยม ก็คือ เจ้ามือปืนซุ่มยิงตัวร้ายนี่แหละครับ (ไม่บอกแล้วกันนะว่าใคร ใครยังไม่เคยดูอยากให้ลองไปหาคำตอบกันครับ) พี่แกไม่ได้แสดงด้วยท่าทางครับ ตลอดทั้งเรื่องพี่ท่านมาแต่เสียง ซึ่งผมว่าไม่ใช่ของง่ายเลยนะครับ ไม่มีแววตา ไม่มีมือไม้ ไม่มีสีหน้าใดๆ ต้องใช้เสียงเป็นสื่ออย่างเดียว และเขาก็สามารถสื่อออกมาได้อย่างถึงอารมณ์อย่างแรง
ตอนนั้นมีหลายคนเข้าใจว่าหนังเรื่องนี้สร้างโดยได้แรงบันดาลใจมาจากเหตุการณ์จริง ที่มีมือปืนซุ่มยิงไล่ฆ่าคนที่รัฐแมรี่แลนด์, เวอร์จิเนีย และ วอชิงตัน ดีซีเมื่อปี 2002 แต่จริงๆ บทหนังเขียนบทมานานแล้วดังที่บอกไป และหนังสร้างเสร็จก่อนเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวด้วย แต่พอหนังจะฉายก็มีเหตุไล่ยิงกุันเกิดขึ้น ทำให้ทาง 20th Century Fox บริษัทผู้สร้าง (ในตอนนั้น) ตัดสินใจเลื่อนการฉายออกไปครับ
ตัวหนังถือว่าทำเงินสวยงามครับ ทำไป $97.8 ล้าน จากทุนประมาณ $13 ล้าน ถือเป็นงานที่คืนฟอร์มอีกเรื่องของผู้กำกับ Schumacher หลังจากช่วงนั้นเป๋ไปกับ Batman & Robin
รีวิววิกฤตโทรศัพท์สะท้านเมือง
พล็อตอย่างที่บอกคือคนโดนกักในตู้โทรศัพท์เนื่องจากมีมือปืนซุ่มยิงอยู่ แล้วหวยมาออกที่สตู เชฟเพิร์ด (Colin Farrell) ชายหนุ่มมาดไฮโซที่ทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของตนเองเป็นหลัก แต่แล้วยังไงต่อเมื่อเดินไปอยู่ดีๆก็นึกอยากคุยกับแฟนจึงเข้าไปในตู้โทรศัพท์สาธารณะใกล้ๆเพื่อคุยกับแพม (Katie Holmes) หวานใจสุดเลิฟ พอหลังจากคุยเสร็จเท่านั้นแหละเสียงกริ๊งที่โทรศัพท์ดังขึ้นอย่างน่าแปลกใจพร้อมกับรับสายด้วยความอยากรู้ เท่านั้นแหละความซวยเข้ามาทันทีในบันดล เพราะเมื่อสตูรับก็โดนขู่ห้ามออกนอกตู้เสียแล้วแต่ใครจะห้ามได้ด้วยเสียงลอยๆ งานนี้เจ้าคนที่ขู่จึงโชว์ศักย์ภาพยิงใส่คนแถวนั้นที่ใกล้ๆตู้ไปหนึ่งนัด ไม่ต้องถามแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
งานนี้ทั้งสตูทั้งคนบริเวณนั้นพากันช็อคกันเป็นแถวแถมโบยความผิดไปที่สตูด้วยท่าทางพิรุธตั้งแต่ไม่ยอมให้ใครใช้ตู้โทรศัพท์จนใครๆพากันโวยแต่นั้นก็ก่อนมีคนตาย พอได้คนตายยิ่งหนักข้อกว่าเดิมเพราะคิดว่าสตูเป็นคนยิง งานนี้ตำรวจก็แห่กันมาให้เพียบเพราะคิดว่าสตูมีปืนและอาจเป็นอันตรายต่อคนรอบข้างได้ ส่วนสตูเองทำอะไรไม่ได้นอกจากแนบหูฟังสายคุยกับคนร้ายไปเรื่อยๆ ยิ่งสถานการณ์ผ่านไปนานเท่าไหร่ยิ่งเพิ่มแรงกดดันมากขึ้น ทางตำรวจยิ่งงงกับพฤติกรรมที่ไม่รู้ว่าสตูทำอะไรกันแน่หรือว่าหมอนี้โรคจิตสติแตกหรือเปล่าก็ไม่รู้ ที่รู้คือตอนนี้สตูอยู่ท่ามกลางมวลมหาประชาชนกับตำรวจอีกเพียบที่ต่างจ้องมองมาที่ตู้โทรศัพท์ตู้เดียว ณ ใจกลางเมือง ดูหนังออนไลน์4k
รีวิว Phone Booth – วิกฤตโทรศัพท์สะท้านเมือง
ถึงหนังจะสั้นไม่ถึง 80 นาทีแต่งวดนี้ระทึกเอาเรื่องเอาราวทีเดียวกับการลุ้นเกือบตลอดทั้งเรื่องระหว่างคนในตู้กับข้างนอกตู้โทรศัพท์ คือเข้าใจเลยนะว่าทำไมหนังถึงสั้นเพราะมาจากการเล่าเรื่องอย่างฉับไว ไม่มาเสียเวลาปูพื้นโน้นนี้ให้มากมายแค่เริ่มจับประเด็นให้ได้ก่อนว่าทำไมถึงมาใช้ตู้โทรศัพท์แค่นั้น จากนั้นแจ็คพ๊อคแตกเรื่องราวสุดระทึกจึงเริ่มขึ้นอย่างรวดเร็วไม่ทันตั้งตัวแม้แต่ตัวละครหรือผู้ชมก็ด้วย(อันที่จริงการไม่รู้เรื่องย่อจะเป็นเรื่องที่ดีที่สุดของหนังเรื่องนี้เพราะจะเป็นการเซอร์ไพร์สอย่างมาก) ไม่ใช่แค่เรื่องราวคราวระทึกที่ใส่มาอย่างต่อเนื่องเท่านั้นที่หนังสนุกสุดเหวี่ยงแต่ยังรวมถึงความลึกลับของซุ่มมือปืนที่มีแต่เสียงไม่มีหน้าตาให้เห็นกันสักฉากเดียว
(เว้นแต่ตอนจบที่อุตส่าห์โผล่มาให้ฉากหนึ่ง) จัดเป็นความเสียวอย่างหนึ่ง เพราะว่าอย่างแรกเราไม่รู้ว่าเจ้าคนร้ายอยู่ตรงไหน อาจจะเป็นสักที่ตามตึกต่างๆที่เต็มไปด้วยกระจกและตึกบ้านช่อง แถมยังมีปืนไรเฟิลที่ยิงได้ระยะไกลอย่างแม่นยำเนื่องจากตู้โทรศัพท์เป็นเป้านิ่งที่ยิงได้ง่ายและโดดเด่น แต่ที่กดดันและทำอะไรไม่ได้คือสตู เป็นใครต้องสติแตกกันทั้งนั้น ซึ่ง Colin Farrell แสดงได้เก่งแสดงออกถึงความวิตกกังวล เครียด และหวาดกลัว ก็อย่างที่บอกทั้งเรื่องก็มีอยู่แค่นี้แหละเริ่มจากสตูไปเข้าตู้โทรศัพท์แล้วเกิดเรื่องขึ้นจากนั้นทั้งเรื่องก็วนเวียนอยู่แค่อาณาเขตบริเวณตู้เท่านั้นแหละ ฉากอื่นอย่าไปหวังอะไรเลยนอกจากจะเสริมนิดๆหน่อยๆตอนเปิดเรื่องกับคุยโทรศัพท์ที่ใช้วิธีตัดภาพระหว่างคุยแบบช่องการ์ตูน ไม่ต้องมาเปลี่ยนสลับฉากไปมา ซึ่งอันนี้เป็นการปูอารมณ์ผู้ชมอย่างหนึ่งให้เห็นความน่าไว้วางใจว่าคุยกับใคร แต่เจ้าคนร้ายนี่สิมีแต่เสียง จะเป็นใครที่ไหนก็ได้ที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วทำเป็นเนียนคุยก็ยังได้ ทั้งลึกลับทั้งกดดันชวนน่าระแวงหลังเสียจริง
สรุปโดยรวม
เห็นพล็อตเรื่องง่ายๆหรูๆแบบนี้แต่สอดแทรกประเด็นเสียดสีให้ตรงกับยุคสมัยอีกด้วย ซึ่งเหมือนจะมีอยู่ประเด็นสองประเด็นหลักๆ อย่างแรกคือเรื่องการใช้โทรศัพท์ ยังจำฉากแรกๆได้ไหมที่สตูมาพร้อมกับคนรับใช้ที่พกมือถือตั้งไม่รู้กี่เครื่องและใช้สลับไปมาเชิงเป็นนักธุรกิจที่ต้องมีเบอร์เฉพาะเอาไว้ติดต่อ ที่สำคัญมันเร็วทันใจยิ่งกว่าการส่งจดหมายเยอะ ไม่ต้องรอไม่ต้องติดแสตมป์ แค่กดเบอร์ที่อยากคุยแล้วโทรออกก็ติดคุยได้เลยทันทีโดยไม่ต้องรอ
สรุป
เนื้อหานับว่าสดใหม่อยู่เหมือนกันในเรื่องของมือถือที่เข้ามามีอิทธิพลในชีวิตประจำวันโดยตู้โทรศัพท์ค่อยๆกลายเป็นสิ่งเหลือที่ไม่ค่อยได้ใช้เพราะพกไม่ได้แถมต้องหยอดเหรียญแล้วไหนต้องต่อคิวอีก มันเสียเวลาใช่ไหมล่ะ ดังนั้นมือถือที่ใส่กระเป๋าได้พกได้และไม่ต้องยอดเหรียญเพียงแค่รอบิลมาเก็บจ่ายที่หลังก็กลายเป็นเรื่องสะดวกแสนสบายไปในทันที ฉะนั้นในเนื้อหาบางส่วนจึงมีการอิงบอกเล่าเกี่ยวกับตู้โทรศัพท์สาธารณะที่เหลืออยู่น้อยไร้ความจำเป็นจนต้องลดปริมาณลงเพราะมือถือ ขณะเดียวกันเจ้ามือถือก็กลายเป็นของใช้ในชีวิตประจำวันที่ห่างไม่ได้ดวยเช่นกัน ยิ่งกับคนที่มีระดับการติดต่อที่ถี่ด้วยแล้วยิ่งปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการมีมือถือก็คุ้มกว่ามานั่งพิมพ์ส่งเป็นข้อความทางเมลล์ที่ไปไหนไม่ได้นอกจากจ้องจอคอมฯ แต่เผอิญประเด็นเรื่องมือถือไม่ใช่สิ่งที่หนังกำลังมุ่งเน้น เพียงสิ่งนั้นคือประเด็นเรื่องการชู้สาว รีวิวหนังผี