รีวิว บอดี้ ศพ* 19

รีวิว บอดี้ ศพ* 19

ดูหนังเถื่อน สำหรับ ‘บอดี้ ศพ19’ หนังไทย แนวจิตวิทยา ที่ยังไม่ค่อยมีค่ายไหนในวงการหนังไทยที่ใจกล้าได้ขนาดนี้ หนังอาจจะไม่ได้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง แต่สำหรับคนที่ชื่นชอบหนังแนวจิตวิทยา แนว mystery psychology หรือเรื่องราวหักมุมที่เรามักจะได้เห็นในหนังต่างประเทศ อยากให้ลองเปิดใจให้กับบอดี้ ศพ19 รับรองว่ากระพริบตาไม่ได้แม้แต่ฉากเดียว รีวิว บอดี้ ศพ* 19 รีวิวหนังผี ดูหนังออนไลน์ ดูหนังฟรี

แอดยอมรับเลยว่าแอบดึงผ้าขึ้นมาปิดตา(เพราะคิดว่าเป็นหนังผี) ตั้งแต่ฉากแรก กับเพลงประกอบ “คิดถึงเธอทุกที ที่อยู่คนเดียว” ที่ใช้เกริ่นเข้าเรื่อง ด้วยเสียงเย็นๆ ของคุณแพท สุธาสินี ความหม่นของบรรยากาศ และโทนสีที่ใช้ในหนัง ซึ่งเป็นอะไรที่จำความรู้สึกได้ดีจนถึงทุกวันนี้…

เรื่องราวต่างๆ ของบอดี้ ศพ19 เริ่มต้นจาก “ชลสิทธิ์” (เป้ slur)นักศึกษาหนุ่มที่อยู่ๆ ก็เกิดฝันถึงเหตุการณ์ประหลาด จนเกิดเหตุการณ์บางอย่างในชีวิตเขา หนักขึ้นๆ ทำให้ชลต้องเข้าไปปรึกษากับจิตแพทย์ ซึ่งเมื่อปะติดปะต่อเรื่องราวต่างๆ ก็ยิ่งได้พบได้เห็นกับอะไรที่เขาเองก็คาดไม่ถึง

หนังดำเนินไป โดยมีตัวละครเพิ่มเข้ามาให้คนดูได้ งง ได้เรื่อยๆ กับความสัมพันธ์ โดยเฉพาะความคลุมเคลือของจิตแพทย์ที่ชื่อ หมออุษา กับสามีของเธอที่ชื่อหมอสุธี ทั้งสองเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างไรกับชล และพี่สาว คือ เอ๋ (แป้ง อรจิรา) ซึ่งเป็นนักศึกษาแพทย์ เรื่องราวแปลกๆ เกิดขึ้นกับชล จนคนรอบข้างลงความเห็นว่าควรเข้าพบจิตแพทย์ ทุกอย่างจากความฝัน สลับกับความจริง

รีวิว บอดี้ ศพ* 19

จากในความฝันลึกลับที่แทบจะคล้ายกับความเป็นจริงนั้น ทำให้ชลรู้สึกว่าตัวเองเป็นเหยื่อที่โดนฆาตกรรม รู้สึกถึงลมหายใจสุดท้าย และได้ยินคำว่า “ชื่อดาราราย ตามหาฉันให้เจอ” ..หมออุษาเองก็เริ่มตามหาตัวดาราราย และความสัมพันธ์ของสุธีกับดารารายก็เริ่มคลายปมออกมา ในขณะที่ชลก็ต้องการพิสูจน์ว่าเค้าไม่ได้บ้าอย่างที่พี่สาวและหลายคนเข้าใจ แต่ภาพหลอนก็ยังตามติดชล กลับทำให้เขาได้รู้เรื่องราวเบื้องหลังเหตุการณ์ฆาตรกรรมที่เกิดขึ้นในจินตนาการและความฝันที่เสมือนจริงนั้น

เรื่องราวของ ชลสิทธิ์ นักศึกษาหนุ่มคณะวิศกรรมศาสตร์ที่อาศัยอยู่กับพี่สาวชื่อ เอ๋ ซึ่งเป็นนักศึกษาคณะแพทย์ศาสตร์ วันหนึ่ง ชลสิทธิ์ ตื่นขึ้นมาในโรงละครที่กำลังทำการแสดงดนตรีอยู่อย่างงงๆ แต่ยังไม่ทันได้คำตอบอะไร เขาก็รีบเดินออกมาจากข้างนอก และเดินทางกลับบ้านทันที ตั้งแต่นั้นมา ชลสิทธิ์ มักจะฝันร้ายถึงเหตุการณ์ฆาตกรรมฆ่าหั่นศพหญิงสาวรายหนึ่งอยู่ตลอดเวลา และในฝันนั้นเขายังเห็นผีตนหนึ่งที่มักจะเอ่ยถึงชื่อ ดาราราย ซึ่งเป็นใครก็ไม่รู้ เขา

อาการฝันร้ายของ ชลสิทธิ์ เริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ จนถึงถึงขั้นที่เขาไม่สามารถนอนหลับได้อย่างสนิท จนสภาพร่างกายและจิตใจค่อยๆ แย่ลง แถมบางครั้งมันทำให้เขาเห็นภาพหลอนของผีตนนั้นที่คอยตามมาหลอกหลอนเขา จนกระทั่งเขาพลั้งมือบีบคอ เอ๋ จนเกือบตายเพราะคิดว่าเป็นผี

เอ๋ จึงขอให้เขาไปหาหมอเพื่อทำการรักษา เขาจึงได้ติดต่อขอเข้ารับการรักษากับ หมออุษา ตามคำแนะนำของ หมอจิ๊บ ที่ได้แนะนำให้กับเขาในวันที่เขาได้เข้าไปทำแผลที่โรงพยาบาล

แต่หลังจากเข้าพบ หมออุษา เขาก็คิดว่าการรักษาไม่น่าจะได้ผล เขาจึงพยายามสืบหาต้นตอของฝันร้ายนั้นเองว่าผีตนนั้นต้องการอะไรจากเขา แล้วชื่อ ดาราราย ที่เขาได้ยินจากผีตนนั้นคือใคร และเกี่ยวข้องอะไรกับเหตุฆาตกรรมที่เขาฝันถึง

บทหนังดีมาก แถมพอทุกอย่างเฉลยแล้วก็สามารถคลายปมทุกอย่างได้อย่างกระจ่างแทบจะไม่มีแผลเลย หนังไทยน้อยเรื่องมากฮะที่จะทำได้แบบนี้ (เพราะที่เห็นๆ มาจากหลายๆ เรื่อง แม้บทจะดี ดำเนินเรื่องดี หรือเล่าเรื่องดี แต่พอวิเคราะห์องค์รวมแล้วก็ยังจะเห็นบาดแผลของหนังซ่อนอยู่จุดนู้นจุดนี้เต็มไปหมด)

รีวิว บอดี้ ศพ* 19

หนังสามารถนำประเด็นของคนเป็น โรค MPD (Multiple Personality Disorder) หรือที่รู้จักกันในชื่อ โรคหลายบุคลิก มาเล่นได้อย่างชาญฉลาดมากฮะ เห็นได้ชัดว่ามีการทำการบ้านมาอย่างดี ไม่มีจุดที่ให้จับผิดได้เลย

สิ่งเดียวสำหรับหนังเรื่องนี้ที่ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ก็คือ การเดินเรื่องในช่วงต้นจนถึงกลางเรื่องที่ค่อนข้างจะอืดและเนือยไปหน่อย ทำให้บางช่วงแอบมีเบื่อๆ ไปบ้าง แต่ก็เหมือนจะรู้ เพราะทันทีที่เราเริ่มเบื่อหนังก็จะใส่อะไรที่น่าสนใจเพื่อดึงให้เรากลับมาอยู่กับหนังต่อได้

ก็แน่นอนที่ บอดี้ จำเป็นต้องทำตัวเองให้ mass ด้วยการสร้างหน้าหนัง ให้ดูเป็นหนังผี อีกเรื่องหนึ่ง …ซึ่งหากคนบางคนตัดสินตัวหนังจากการได้เห็นแค่ตัวอย่าง และจะดูด้วยความรู้สึกที่ต้องการความสยอง ได้ตกอกตกใจตะลุ้งตุ้งแช่มากกว่าสิ่งอื่นใดแล้ว ก็ให้นึกไปถึงผลลัพธ์อันตายตัว ที่จะได้รู้สึกเป็นแน่เมื่อออกจากโรง อันคือ ความผิดหวัง (อย่างในรอบที่ผมดูนั้น ผมก็ได้เห็นอยู่กะจะตาว่า มีหนุ่มสาวคู่หนึ่งได้ลุกออกจากที่นั่ง และเดินจ้ำๆไปสู่ประตูทางออก ซึ่งหลังจากตอนนั้นแล้ว ก็ไม่เห็นจะมีคนเดินเข้ามาอีกเลย)

แล้วยิ่งถ้าจะเอา บอดี้ มาเทียบเปรียบกับหนังแนวผีๆอีกสองเรื่องจากใต้ชายคาจีทีเฮช ด้วยกัน อย่าง “ชัตเตอร์” กับ “แฝด” ด้วยละก็ มันจะเป็นอะไรที่แตกต่างกันมากอย่างกับกระดูกคนละเบอร์ เสื้อคนละไซท์ …อาจแม้ได้ว่า ในหนังทั้งสามเรื่องจะมีองค์ประกอบการเล่าเรื่องแบบหักมุม ยอกย้อน ซ่อนเงื่อน อยู่เหมือนๆกันก็ตาม หากแต่แนวทางของ บอดี้ กับไม่น่าจะถูกเรียกว่าเป็นหนังผีซะด้วยซ้ำ

จากตามปากคำของตัวผู้กำกับเอง เขาเรียกแนวหนังของเขาว่าเป็น ‘Psycho-Thriller’ ที่ว่ากันด้วยเรื่องของการฆาตกรรมที่นำมาซึ่งความระทึกขวัญ …ใน “บอดี้ ศพ #19” มีองค์ประกอบเป็นเรื่องราวของตัวละครตัวหนึ่ง (ชลสิทธิ์) ที่ได้พบภาพความฝัน เป็นการฆ่าชำแหละศพของบุรุษนิรนามและเหยื่อสาวที่นอนแน่นิ่ง (ดาราราย) …ฝันนี้ได้กลายมาเป็นลางบอกเหตุอันสำคัญที่ทำให้ตัวละครเอก ต้องออกตามหาทั้งเหตุและผลของมันที่ต้องมาเกี่ยวข้องกับชีวิตของเขา

ก่อนหน้าที่จะได้มาทำหนังโรงเป็นเรื่องแรกในชีวิต “ปวีณ ภูริจิตปัญญา” เคยเชี่ยวชาญอยู่ในสายงานกำกับมิวสิควิดีโอให้กับบรรดานักร้องดังๆทางค่ายฝั่งลาดพร้าว (คงมิต้องบอกว่าค่ายใดที่ตรงกันข้ามกับเจ้าของหนัง)… จึงมีอะไรให้รู้สึกได้ที่ภาพบางภาพ ที่ได้เห็นมันจะมีเทคนิค ความคับคล้ายคับคลากับ การดูภาพประกอบเพลง ยังไงยังงั้น …แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรต่อความน่าติดตาม กลายเป็นเพลินๆซะอีกที่ผู้กำกับมีความเข้าใจเอามาประยุกต์ใช้กับการทำหนังได้ดี

ซึ่งกับเทคนิคการสร้างภาพของคุณปวีณ นอกจากจะดูมีความอาร์ตที่สวยในแต่ละมุมมองแล้ว การจัดวางกล้องก็ยังช่วยเสริมสร้างบรรยากาศ บิวด์อารมณ์ชวนสะพรึง หวาดหวั่นได้เป็นอย่างดี …ขณะที่งานซับซ้อนทางรายละเอียด อย่างการทำเทคนิค CG ก็นับว่าน่าตื่นตา ให้ผลลัพธ์ที่พอใจใช้ได้

กับหนังไทยสักเรื่อง ที่อุตส่าห์พยายามกันมามากก็ไม่มีเรื่องไหนที่ทำได้น่ายอมรับเท่านี้มาก่อน …แม้ทว่าโดยรวมจะยังคงห่างไกลกับความเนี้ยบทุกรายละเอียดของต่างชาติกันอยู่เป็นโยชน์ แต่อย่างน้อยๆแล้วกับเงินทุนเพียงไม่กี่ล้าน ผสมความประณีตตั้งใจเท่าที่ทำให้เห็น ก็นับว่าสอบผ่านล่ะ

นอกเหนือไปจากการควบคุมส่วนเทคนิคที่หนังทำได้ดี ส่วนของหน้าที่การกำกับอารมณ์นักแสดงไม่ให้หลุดจากบทบาท (รวมถึงสายตาคนดูไม่ให้วอกแวกไปจากจอ) ของ คุณปวีณ ก็ถือว่าสอบผ่านเช่นกัน …แม้โดยส่วนตัวอาจจะรู้สึกว่าหนังมันหนืด เนือย เกินไปหน่อย (โดยทั่วไป หนังอย่างนี้จะเน้นสร้างความลุ้น ชวนตื่นเต้น ตื่นตัวให้คนดูตลอดเวลา) แต่หนังที่เน้นบิวต์อารมณ์ทีละนิดๆไปตามเรื่องราวอันเข้มข้น โดยพาคนดูอยากติดตามไปอย่างไม่น่าเบื่อ ก็ถือว่าเป็นเหตุเป็นผลจะตัดข้อติตรงส่วนนี้ไปได้

ส่วนของการแสดง ก็ไม่มีใครที่เหมาะควรกับคำว่า จุดอ่อน สักคน …อย่างพระเอก “เป้ วง Slur” เล่นเรื่องแรกอาจจะดูแข็งๆ แต่บทและพฤติกรรมอันแข็งกระด้างของ “ชลสิทธิ์” ก็พาไปให้เขาต้องเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว , “แป้ง-อรจิรา” ก็ยังพรั่งพร้อมไปด้วยเสน่ห์เช่นเคย แม้บทจะไม่ใช่สาวแก่นๆแบบที่เห็นบ่อยๆในละครทั่วไป หรือกระทั่งหนังเรื่องก่อนอย่าง สายล่อฟ้า (การแสดงเป็นพี่น้อง ก็นับว่าเนียนมากๆ ยิ่งหน้าตาคล้ายกันด้วย ก็ยิ่งดูอินเข้าไปใหญ่)

“เข็ม-กฤตธีรา(ตีสิบ)” เล่นได้อินเกินคาด ดูน่าเชื่อถือกับภาพลักษณ์จิตแพทย์ ฉากแสดงอารมณ์ก็เอาได้อยู่ เงียบๆแต่เฉือนใจไปไม่น้อย , “เมย์-ภัทรวรินทร์” ออกน้อย แต่ให้มากกับบทบาท “ดาราราย” ที่จะว่าน่าสงสารก็ใช่ แต่พอถึงทีจะอำมหิตก็ดูน่ากลัวโคตรๆ , “ปลาย ปรเมศวร์” (จำได้ไหม…ว่าเขาคือ พ่อของเด็กสาวเบนโล ในโฆษณาไทยประกันชีวิต) เป็นที่สุดของความเยี่ยมในหมู่นักแสดง กับคาแรกเตอร์คุณหมอที่เหมือนจะมีอะไรกับ ดาราราย มากกว่าในฐานะเพื่อนร่วมงาน หรือเปล่า

ผมยอมรับว่า การเฉลยของหนังนั้น ทำออกมาได้รุนแรง และหักหลังคนดูได้อย่างเจ็บแสบ …หากแต่เมื่อย้อนกลับไปคิดถึงจุดก่อนๆที่หนังพยายามจะเอามาเกี่ยวโยงกันก็ยิ่งรู้สึกมึนถึงความเป็นไปที่ได้มาถึงจุดสุดท้ายนี้ ซึ่งพอเริ่มทำความเข้าใจด้วยตัวเอง (ตลอดทางกลับรถขับมาบ้าน ที่มีหลายต่อหลายหนคิดเพลิน จนเกือบเสียสติคุมพวงมาลัยไม่อยู่มือเลยทีเดียว…หรือจะเป็นเพราะว่า ผมโดนหนังทำสะกดจิตละเนี่ย +_+’) แล้วก็มาอ่านความคิดเห็นกับคนที่ได้ดูมาตามกระทู้ต่างๆ ก็ทำให้ผมเห็นภาพที่จะดูเลือนๆ ชัดขึ้นมาได้มากเลยทีเดียว