รีวิว Alive

รีวิว Alive

#ALIVE ชื่อไทย คนเป็นฝ่านรกซอมบี้ หนังซอมบี้ลงโรงของเกาหลีเรื่องล่าสุดที่ไม่ได้ฉายไทย แต่ Netflix ซื้อมาเป็น Original Netflix ลงในระบบ โดยมีนางเอกดังอย่าง “พัคชินฮเย” (หรือที่ชาวไทยชอบเรียกเธอว่า น้องผัก) มาร่วมแสดงนำในเรื่องคู่กับยูอาอิน พระเอกหนุ่มวัย 34 ที่เปลี่ยนลุคมารับบทเกมเมอร์วัยรุ่นที่ติดอยู่ในห้องอพาร์ทเมนท์คนเดียวระหว่างที่ซอมบี้บุกเมือง รีวิว Alive รีวิวหนังผี ดูหนังเถื่อน

ดูหนังออนไลน์ ด้วยหน้าหนังที่ดูดี + ดารานำในเรื่องที่ดูแล้วน่าติดตามมาก ความคาดหวังว่าหนังซอมบี้เรื่องนี้จะมีอะไรแปลกใหม่ในยุคที่หนังซอมบี้ขยันทำกันเกลื่อนโลกจึงสูงตามไปด้วย แต่แล้วกลับพบว่านี่เป็นแค่หนังซอมบี้ที่แทบไม่ได้ฉีกแนวอะไรสักเท่าไหร่ ซึ่งจริงๆ ก็อาจจะไม่ใช่ปัญหา ในเมื่อคนดูกลุ่มใหญ่โดยทั่วไปขอแค่เป็นหนังซอมบี้วิ่งไล่ล่าฆ่ากันเลือดสาดกันเยอะก็เพียงพอแล้ว ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นได้แค่นั้นจริงๆ ดูหนังฟรี

ตัวหนังเปิดเรื่องมาด้วยความรวดเร็วหลังพระเอก Oh Joon-woo ตื่นขึ้นมาทำกิจวัตรประจำวันด้วยการเล่นเกมออนไลน์กับเพื่อน แต่แล้วกลับพบว่าเกาหลีกำลังถูกคนติดเชื้อซอมบี้บุกไปทั่ว จนต้องขังตัวเองอยู่ในห้องของอพาร์ทเมนท์เพื่อให้มีชีวิตรอด และส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือออกไปผ่านโซเชียลมีเดียด้วยแฮชแท็ก #Alive (#ต้องรอดชีวิตให้ได้)

แต่ผ่านไปวันแล้ววันเล่าก็ไม่มีใครมาช่วยเหลือ ก่อนที่จะหมดหวังเขากลับได้พบกับ Kim Yoo-bin (รับบทโดย พัคชินฮเย) หญิงสาวที่รอดชีวิตในห้องเช่นเดียวกับเขาแต่อยู่ตึกฝั่งตรงข้ามกัน ทั้งคู่จึงหาทางร่วมมือกันเอาชีวิตรอดจากเหตุการณ์ร้ายครั้งนี้ให้ได้

ตัวเรื่องใช้เวลาในช่วงแรกหมดไปกับการใช้ชีวิตเดิมๆ กิน นอน ดูข่าว เล่นเกม (ก่อนนี่เน็ตจะล่ม) ในห้องของตัวพระเอก พร้อมปูว่าสัญญาณจากครอบครัวขาดไป ทำให้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพ่อแม่บ้าง ซึ่งเวลาที่ผ่านไปก็ไม่ได้มีเรื่องตื่นเต้นอะไรมากนัก นอกจากช่วงแรกที่มีเพื่อนบ้านติดเชื้อหลงเข้ามาในบ้าน กับการที่ต้องมองเห็นคนผ่านไปกลายเป็นซอมบี้โดยที่เขาช่วยเหลือไม่ได้ ซึ่งตัวผู้กำกับอาจจะพยายามเสนอความแปลกใหม่ของการติดอยู่ในห้องผ่านหนังแนวซอมบี้ก็ได้ แต่มันกลับมีความไม่สมเหตุผลปนอยู่เป็นระยะ อย่างการที่พระเอกดันไม่รองน้ำประปาเก็บไว้จนน้ำหมด แถมทำหกแบบอารมณ์เสียจนต้องมาเลียกินบนโต๊ะ

รีวิว Alive

หรือการที่จู่ๆ ก็ออกจากห้องไประบายอารมณ์กับซอมบี้ โดยที่ไม่ได้เป้าหมายอะไรจริงจังเลย แถมกว่าจะคิดออกไปหาอาหารก็นานเกินจนจะอดตายแล้ว มิหนำซ้ำยังพยายามเล่นเรื่องไม่มีสัญญาณโทรศัพท์หรือการใช้โดรนบินออกไปสำรวจแบบไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไหร่นัก มองว่าแค่เป็นกิมมิคของเรื่องนิดหน่อยเท่านั้น อย่างที่เห็นในภาพโปสเตอร์หนังที่เหมือนเซลฟี่บนระเบียง แต่ในเรื่องก็ไม่ได้มีอะไรแค่ถือไม้ยืดยาวออกไปหาสัญญาณมือถือ

ความสมจริงของเรื่องที่ตัวพระเอกอดอาหารนานเป็นสิบวันแต่กลับไม่ได้ผอมลงเลยสักนิด ยิ่งทำให้ดูไม่ค่อยสมจริงเข้าไปอีก จนแอบเบื่อๆ กับการดำเนินเรื่องที่ผู้ชมรู้แล้วว่าเรื่องนี้ต้องการนำเสนอตัวละครในที่ปิดแบบนี้ไปจนจบเรื่องแน่นอน และก็ดูจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ จนกระทั่ง ผ่านไปครึ่งชั่วโมงแรกตัวนางเอกที่เล่นโดยพัคชินฮเยถึงปรากฎตัวออกมา

หลังนางเอกปรากฎตัวด้วยพลังดารากับหน้าตาที่สวยของพัคชินฮเย ก็เลยกลายเป็นสิ่งที่ทำให้เรื่องนี้ดูสดใสมีอะไรน่าติดตามกว่าช่วงแรกมาก แต่เนื้อเรื่องก็ยังไม่ได้ออกนอกกรอบการติดอยู่ในห้องสักเท่าไหร่ แต่คนดูคงไม่แคร์แล้วเพราะหลังการปรากฎตัวของนางเอกก็ทำให้เรื่องไม่น่าเบื่อ และก็ชวนลุ้นกับจิ้นนิดๆ ว่าสองคนนี้จะมีอะไรกันมากกว่านี้หรือเปล่า ก่อนที่ทั้งคู่จะหาทางเข้ามาเจอกันจนได้เพื่อไปยังจุดหมายใหม่ที่ดูแล้วปลอดภัยกว่า

แต่เรื่องความสมเหตุผลที่มีปัญหาในช่วงแรกก็ยังตามมาในช่วงหลังอยู่ดี โดยเฉพาะการบุกเดี่ยวสู้ซอมบี้ของนางเอกที่ดูเว่อร์เกินแบบไม่ค่อยมีเหตุผลในมุมคนเอาตัวรอดสักเท่าไหร่ (มีเชือกปีนเขาข้ามฝั่งได้ แต่กลับใช้โรยตัวลงไปบู้ซอมบี้แทน) แต่หนังคงอยากสร้างฉากการเอาตัวรอดวิ่งหนีระทึกๆ ให้สมกับเป็นหนังซอมบี้แทนการติดอยู่ในห้องแทบทั้งเรื่องบ้างเท่านั้น ซึ่งก็เข้าใจได้ว่าดูสนุก แต่ในมุมของธีมการเอาตัวรอดแบบที่ปูมาแต่แรกมันกลายเป็นความรู้สึกขัดกันพิกลๆ

และตัวเรื่องก็ยังพยายามใส่แนวคนที่รอดตายด้วยกันน่ากลัวกว่าซอมบี้มาไว้ในตอนท้ายตามสูตรหนังแนวนี้ แต่เรื่องช่วงนี้กลับไม่ค่อยสมเหตุผลยิ่งขึ้นไปอีก จนคนดูอาจจะรู้สึก “อีหยังวะ” กับการตัดสินใจของตัวละครทั้งหมดในช่วงนี้เลยก็ได้ ก่อนที่หนังจะจบตามสูตรง่ายๆ แล้ววนกลับไปเรื่องแฮชแท็ก #ต้องรอดชีวิตให้ได้ ที่เป็นชื่อเรื่องอีกครั้ง

สิ่งที่โดดเด่นจริงๆ คืองานเมคอัพซอมบี้ที่เนี๊ยบมากจริงๆ ตัวซอมบี้มีรายละเอียดความน่ากลัวสูง แต่ก็ยังขาดความแปลกใหม่ ซอมบี้ในเรื่องก็ยังตายด้วยวิธีเดิมๆ และบางทีก็แอบมึนงงโง่ๆ ให้ตัวละครรอดไปได้ง่ายๆ หรือการถูกรุมแต่ไม่กัดพระเอกนางเอกให้โดนสักที ก็ทำให้ดูเหมือนเป็นแค่ซอมบี้เมคอัพดี แต่ยังขาดฉากน่าจดจำในแบบที่หนังซอมบี้เรื่องอื่นทำมา โดยเฉพาะในเกาหลีด้วยกันอย่าง Kingdom หรือ Train to Busan เรื่องนี้ไม่ได้มีฉากน่าจดจำแบบสองเรื่องนี้เลย

รีวิว Alive

ในขณะที่วงการหนังเกาหลีกำลังขยายกรอบความท้าทายด้วยการสร้างจักรวาลหนังเป็นของตัวเองให้มั่นคงแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ เราอาจจะได้เห็นแฟรนไชส์หนังซอมบี้ของผู้กำกับยอนซังโฮต่อเนื่องอีกหลายเรื่องหลังจากนี้ แต่ตอนนี้เราก็ได้ค้นพบว่ากระแสนิยมในหนังแนวนี้สามารถแตกหน่อออกไปได้อีกอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เหมือนกับ “#Alive คนเป็นฝ่านรกซอมบี้” ที่เป็นหนังหนีตายฝูงซอมบี้เรื่องล่าสุดจากเกาหลี ได้ตอบโจทย์คนดูได้เป็นอย่างดี แม้ว่าหนังจะเต็มไปด้วยสูตรสำเร็จเดิมๆ ที่ไม่มีอะไรแปลกใหม่เท่าไหร่เลยก็ตาม

#Alive คนเป็นฝ่านรกซอมบี้ กลายเป็นหนังเกาหลีเรื่องแรกหลังจากโควิด-19 ระบาดที่สามารถสร้างสถิติรายได้และเรียกความมั่นใจให้คนกลับเข้าโรงหนังที่เกาหลีใต้ นี่อาจจะมองว่าเป็นหนังแอคชั่นซอมบี้สไตล์อินดี้หน่อยๆ ก็ว่าได้ ที่อินดี้คงเป็นเพราะสเกลของหนังไม่ได้ยิ่งใหญ่อลังการเหมือนกับหนังบ็อกซ์บัสเตอร์ทั่วไป เพียงแต่เป็นการเจาะลึกเล่าเพียงแค่สถานที่ที่เดียว พร้อมกับตัวละครที่ไม่จำเป็นต้องสร้างมิติทางปฏิสัมพันธ์กับตัวละครอื่นมากสักเท่าไหร่

หนังเล่าเรื่องราวของการแพร่ระบาดของไวรัสปริศนาที่เกิดขึ้นในกรุงโซล เมืองหลวงของเกาหลีใต้ โดยเหตุการณ์ครั้งเกิดขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัวและรวดเร็วมาก ทำให้ จุนอู ชายหนุ่มเกมเมอร์ต้องติดแหง็กอยู่ในห้อง ไม่สามารถออกไปไหนได้ พร้อมกับขาดการติดต่อจากโลกภายนอกทุกอย่าง ไม่มีสัญญาณอินเตอร์เน็ต ไร้สัญญาณโทรศัพท์ และไฟฟ้าก็ดับตามมา ก่อนที่เขาจะพบว่าไม่ใช่เพียงแค่เขาคนเดียวที่ติดอยู่ในอะพาร์ตเมนต์ เพราะยังมี ยูบิน สาวที่พักอยู่ตึกฝั่งตรงข้ามกับห้องเขา ก็ร่วมชะตากรรมเดียวกัน เพราะถ้าออกจากห้องไปก็เท่ากับฆ่าตัวเองชัดๆ

การเปิดตัวของหนังค่อนข้างฉุกละหุกพัลวันเลยก็ว่าได้ เพราะเพียงแค่เริ่มเปิดฉากมาได้ยังถึง 3 นาที ก็รีบร้อนเข้าประเด็นในทันที แม้ว่าหนังจะมาสไตล์ไม่ได้เกริ่นถึงที่มาที่ไปของสาเหตุต่างๆ ของเรื่องราวก็ตาม แต่ก็ถือว่าไม่ได้ติดขัดติดใจอะไร เพราะดำเนินเรื่องแบบนี้ก็ถือว่าเข้าท่าแล้ว อีกทั้งยังได้พลังการแสดงของ “ยูอาอิน” ที่แบกหนังทั้งเรื่องเอาไว้ได้อย่างสบายๆ แม้จะเป็นหนังที่ไม่ได้ดราม่าจ๋าอะไร แต่เขาก็โชว์ศักยภาพทางการแสดงออกมาได้อย่างขนลุกชูชัน ตลอดช่วงเวลา 30 นาทีแรกของหนังเลยทีเดียว

หนังใช้รูปแบบการเล่าเรื่องเชิงโฟกัสคาแรกเตอร์เดี่ยวๆ เป็นหลัก เนื่องจากสถานการณ์ของเรื่องโดยรวมก็เอื้ออำนวยต่อบทแนวนี้ด้วย ทำให้ ยูอาอิน ต้องเล่นและแสดงคนเดียวอยู่เกือบตลอดทั้งเรื่องเลย คาแรกเตอร์ของเขาก็เป็นหนุ่มวัยรุ่นที่อาจจะไม่ใช่ลูกที่ดีมากนัก แต่ครอบครัวก็รักและเอ็นดูเขาเสมอมา แต่เมื่อวันนี้ต้องมาติดแหง็กอยู่ในห้องเพียงลำพัง เขาก็ต้องหาหนทางรอดด้วยตัวเอง ยูอาอินถ่ายทำบทนี้ออกมาได้มหัศจรรย์ในรูปแบบของเขา ฉากอารมณ์ทำได้ถึง ฉากตลกปล่อยมุกเสียดสีก็มีมาบ้าง การแสดงของเขาคือเสน่ห์และส่วนที่ทำให้หนังค่อนข้างบันเทิงได้ดี

มาถึงตัวละครของ “พัคชินฮเย” สาวจากตึกฝั่งตรงกันข้าม อาจจะเป็นคาแรกเตอร์ที่หนังยังไม่ได้โฟกัสมากเท่าที่ควร เพราะเน้นหลักๆ มาอยู่ที่จุนอูมากกว่า ทำให้ในส่วนของยูบินยังมีปมหลายๆ อย่างที่เหมือนแอบๆ เก็บๆ เอาไว้ให้คนดูได้ไปวิเคราะห์กันเองว่าเธอผู้นี้เป็นคนอย่างไร แล้วทำไมถึงมาติดแหง็กอยู่ในห้องคนเดียวแบบนี้ แต่ พัคชินฮเย ก็มีเสน่ห์ล้นเหลืออยู่ในจอเป็นอย่างมาก แม้ว่าบทของเธอจะไม่ได้เล่นซีนอารมณ์หรือมีมิติอะไรมากนัก แต่ก็ถ่ายออกมาได้อย่างเต็มที่ เท่าที่บทจะเอื้ออำนวยแล้ว

นี่เป็นผลงานเรื่องแรกของ “โจอิลฮยอง” ที่รับหน้าที่ทั้งกำกับและเขียนบทหนังเรื่องนี้เอง ต้องยอมรับว่าหนังสนุกและให้ความบันเทิงกับคนดูได้ค่อนข้างดี แม้ว่าโดยภาพรวมหนังเต็มไปด้วยสูตรสำเร็จแทบจะทั้งหมด และไม่มีอะไรที่ดูแล้วรู้สึกแปลกใหม่อะไรเท่าไหร่เลย แต่ละสถานการณ์เหมือนหยิบยืมมาจากหนังเรื่องอื่นๆ แต่พวกเอาผนวกใส่เอาไว้ด้วยกันแล้ว ก็ต้องยอมรับว่าออกมาได้ลงตัว เป็นไปตามขั้นตาม แม้ว่าจะบางช่วงที่แอบขัดใจหน่อยๆ ว่าจะพลิกผันเป็นแบบนี้ทำไมกันนะ

แต่หนึ่งในความรู้สึกที่ได้ระหว่างดูหนังเรื่องนี้ก็คือ กลิ่นอายของหนังรักโรแมนติกที่โชยออกมาคลุกเคล้ากับกลิ่นคาวเลือด โมเมนต์และเคมีของตัวละคร จุนอู กับ ยูบิน ค่อยข้างเปล่งประกาย ท่ามกลางความระทึกใจที่ต้องวิ่งหนีซอมบี้ ก็ยังได้ผ่อนคลายอารมณ์เบาๆ กับการทำความรู้จักกันของหนุ่มสาวแปลกหน้าที่ต้องมาพาลพบเจอกันแบบสถานการณ์บังคับ แอบเป็นฉากหวานๆ จีบกันในหนังซอมบี้แบบไม่ได้ตั้งใจไปเสียอย่างนั้น

นอกจากนี้แล้ว ดูเหมือนว่า #Alive ก็พยายามใส่ประเด็นทางสังคมบางอย่างเข้ามาเสียดสีได้เจ็บแสบอยู่ในหนังประปรายด้วย โดยเฉพาะประเด็นโลกในสังคมโซเชียลมีเดีย หรือใส่มุกเสียดสีสังคมเข้ามาพอทำให้ได้หัวเราะขบขันเบาๆ นี่จึงกลายเป็นหนังซอมบี้ที่ไม่ได้เน้นการเข่นฆ่าไล่ล่าเลือดกระฉูด แต่โฟกัสที่มุมมองการเอาชีวิตรอดของคนที่ยังรอดชีวิตอยู่ท่ามกลางสถานการณ์แบบนั้นมากกว่า

โดยรวมแล้ว #Alive คนเป็นฝ่านรกซอมบี้ แม้จะเป็นหนังที่ไม่ได้รู้สึกเซอร์ไพรส์อะไรเลย เพราะทุกอย่างล้วนอยู่ในกรอบสูตรสำเร็จอยู่แล้ว แต่การได้ ยูอาอิน กับ พัคชินฮเย มาแบกรับหนังเรื่องนี้เอาไว้ได้แบบชิลๆ กลายเป็นกำไรของคนดูได้เลย พวกเขาคือนักแสดงที่เต็มไปด้วยความเป็นมืออาชีพ ทำให้ตลอดเวลาชั่วโมงครึ่งนิดๆ ของหนังนั้น ให้อรรถรสที่สนุกตื่นเต้นและอินเข้าถึงเรื่องราวได้ไม่ยากเลย

จริง ๆ ความเจ๋งของหนังเรื่องนี้คือ การเซ็ตเรื่องราวให้เกิดขึ้นในห้อง แบบสถานการณ์ที่ตัวละครเป็นหนูติดจั่น ออกข้างนอกห้องลำบากเพราะมีฝูงซอมบี้รายล้อม ในขณะที่สถานการณ์ในห้องก็บีบบังคับเหมือนห้องกับดักที่มีน้ำเอ่อสูงขึ้นเรื่อย ๆ อย่างกับในหนังผจญภัย เพราะเริ่มที่เสบียงมีจำกัดซ้ำร้ายยังเกิดเรื่องราวให้เสบียงหดหายไปไวขึ้นอีก

จากนั้นการรับรู้สถานการณ์ต่าง ๆ ก็ค่อย ๆ ถูกตัดทอนลงเรื่อย ๆ เหมือนคนที่ถูกปิดผัสสะต่าง ๆ ทีละอย่าง ตั้งแต่ ห้ามส่งเสียงดัง สัญญาณมือถือที่ขาดหาย จากนั้นก็เริ่มลามไปสู่อินเทอร์เน็ต โทรทัศน์ จนในที่สุดก็แทบไม่รู้อะไรโลกภายนอกอีกเลย ตัวละครต้องประยุกต์ใช้สิ่งที่ตัวเองมีเอาตัวรอด และเป็นหนังที่ตัวละครใช้ประโยชน์จากโดรนได้คุ้มค่ามากเรื่องหนึ่ง

และด้วยเวลาที่บีบให้ตัวเอกต้องทำอะไรสักอย่างก่อนที่จะอดตาย เขาก็ได้พบกับ ผู้รอดชีวิตอีกคนที่อยู่อีกฝั่งตรงข้าม ก็ทำให้หนังเล่นสถานการณ์ต่อเนื่องไปได้อีกขยัก ทว่าจุดที่น่าเสียดายก็มาจากตรงที่หนังเริ่มทิ้งไอเดียเรื่องการเอาตัวรอดในห้องปิดตายไปนี่เอง การถูกปิดตาปิดหูปิดโลกภายนอกที่อุตส่าห์สร้างมาได้น่าสนใจ ก็ยังขยี้ใช้ได้ไม่เต็มที่ดี

ซึ่งปัญหานี้ในองก์ต่อมาที่พระเอกเจอนา งเอกแล้วก็ทวีคว ามน่าเป็นห่ วงขึ้นไปอีก เพราะหนังต้องไปเล่นท่าประหลาดจากหนังเอาตัวรอดกลายเป็นหนังบู๊ 1 ต่อ 100 ที่ดูเกินจะเชื่อ ทั้งการออกแบบฉากหนีตายพร้อมสู้กับฝูงซอมบี้ก็ดูไม่ค่อยหนักแน่นลงตัวนัก ความเชื่อถือต่อหนังเลยยิ่งอ่อนแอลงไปอีก นี่ยังไม่นับสภาพว่าคนที่ติดอยู่ในห้องเป็นเดือน ๆ (นึกภาพคนกักตัวอยู่บ้านช่วงโควิด-19 ที่แย่กว่าตรงที่ไม่มีอาหารดี ๆ มากพอเต็มมื้อมาเสิร์ฟเรื่อย ๆ) แล้วจะยังดูไม่ค่อยอิดโรย แถมยังแข็งแรงฟิตเปรี๊ยะได้ขนาดนั้นอีก