รีวิว Deliver Us From Evil

รีวิว Deliver Us From Evil

เว็บหนังเถื่อน หนึ่งในหนังเกาหลีที่เคยสร้างปรากฏการณ์ได้หลังจากฟื้นตัวจากพิษโควิด-19 ที่ผ่านมา หนังแอคชั่นดราม่าเข้มข้นและความดิบเถื่อนจัดเต็มที่อัดแน่นใส่เข้ามาแบบสะใจคนดู “Deliver Us From Evil” หรือชื่อไทยว่า “ให้มันจบที่นรก” เป็นหนังเกาหลีที่มีฉากหลังถ่ายทำในประเทศไทยเป็นหลัก แม้ว่าพื้นฐานของเรื่องจะค่อนข้างสูตรสำเร็จ แต่ก็กลายเป็นหนังที่สร้างความบันเทิงให้คนดูได้กำลังเหมาะเจาะ รีวิว Deliver Us From Evil รีวิวหนังผี ดูหนังเถื่อน

หนังใหม่ ผลงานการกำกับและเขียนบทโดย “ฮงวอนชาน” ที่ถือว่าโดดมาจับงานสร้างหนังแบบเต็มตัวเป็นครั้งแรกของเขา หลังจากที่สั่งสมประสบการณ์จากงานเขียนบทหนังระทึกขวัญชื่อดังมาหลายเรื่อง เช่น “Confession of Murder” หรือ “The Scam” งานของเขาในเรื่องนี้ยังคงจัดเต็มกับความดิบเถื่อนแบบไม่ยั้ง และอัดแน่นด้วยฉากแอคชั่นระทึกใจ เจ็บเป็นเจ็บ เลือดเป็นเลือด ที่ทำให้คนดูต้องเผลอยกมือมาป้องหน้าป้องตาแบบเสียววาบเลยทีเดียว หนังฟรี

ดูหนังออนไลน์ Deliver Us From Evil เป็นเรื่องราวของ อินนัม นักฆ่ารับจ้างที่เตรียมจะวางมือจากอาชีพอันโหดเหี้ยมนี้ หลังจากที่เขาเสร็จสิ้นจากการสังหารเป้าหมายคนสุดท้ายที่ญี่ปุ่น เขาได้ทราบข่าวที่เกิดขึ้นกับคนรักของเขาที่เมืองไทย เธอถูกฆาตกรรมและลูกสาวก็ถูกลักพาตัวหายไป ทำให้เขาจำเป็นต้องบินข้ามประเทศไปตามสืบหา ในขณะเดียวกัน เรย์ ก็ตามสืบว่าใครเป็นคนสังหารพี่ชายร่วมสาบานของเขา เมื่อสืบรู้ว่าคนนั้นก็คืออินนัม เขาจึงตามไปล้างแค้น…ชีวิตด้วยชีวิต ดูหนัง

อย่างที่กล่าวเอาไว้ข้างต้น หนังมาพร้อมกับสูตรสำเร็จที่ไม่ได้มีอะไรอยู่เหนือความคาดหมายเท่าไหร่ แต่มีจุดเด่นด้วยฉากแอคชั่นเชือดเฉือนที่แข็งแกร่ง มาเป็นจุดส่งเสริมทำให้หนังมอบความบันเทิงไปตลอดรอดทาง หนังมีพล็อตหลักๆ แบ่งเป็น 2 ส่วนอย่างเป็นได้ชัด โดยมีตัวละครเป็นตัวเชื่อมเรื่องราวเข้าหากัน มีหลายจุดที่ยังดูไม่สมเหตุสมผล และยังไม่กลมกลืนเท่าที่ควร

ดูหนังออนไลน์ พล็อตดราม่าที่เป็นจุดขายเสมอๆ ของหนังเกาหลีก็ยังคงปรากฏให้เห็นอยู่เช่นเดิม แต่นับว่ายังดีที่อารมณ์ของหนังยังลื่นไหลคล้องจองกับบรรยากาศของหนังอยู่ ทำให้ยังเป็นส่วนความเป็นดราม่าในหนังไม่ได้ทำให้รู้จักขัดๆ กับตัวหนังสักเท่าไหร่ แต่โดยภาพรวมก็ถือว่าหนังมีความหนักแน่นในการนำเสนอ แต่ยังค่อนข้างเบาในเนื้อหาอยู่บ้าง และยังสร้างความบันเทิงให้กับคนดูได้เป็นอย่างดีอยู่ ดูหนังฟรี

“ฮวางจองมิน” มารับหน้าที่แบกรับหนังทั้งเรื่อง ซึ่งเขาก็ทำหน้าที่ได้อย่างสบายๆ จากประสบการณ์ของมืออาชีพ และยังคงเป็นซูเปอร์สตาร์หนังเกาหลี แต่อาจจะด้วยบทหนังและการผลักดันคาแรกเตอร์ที่ยังสร้างมิติได้ไม่มีเท่าไหร่นัก ทำให้ตัวละครของเขายังดูแบนไปสักหน่อย อินเนอร์และอารมณ์ที่เขาถ่ายทอดทำได้ดูตามสไลต์การแสดงของเขา และยังคงทำได้ดีเสมอตัวอยู่ ดูหนัง

มาถึงอีกหนึ่งนักแสดงนำ “อีจองแจ” ที่อาจจะได้มาเพื่อแบกรับหนังทั้งเรื่อง แต่ก็เป็นส่วนที่ช่วยพยุงหนังเอาไว้ได้ดี แม้ว่าตัวละครของเขาในเรื่องจะไม่มีที่ไปที่มาใดๆ รวมทั้งยังสร้างมิติให้คาแรกเตอร์ไม่ค่อยได้ จึงกลายเป็นเพียงบทบาทที่มาเพื่อแก้แค้นและคิดแค้นอย่างมีเหตุผลและเจตนารมย์อยู่แล้ว มาเป็นทำชั่วก็คือชั่วทั้งเรื่อง แต่ต้องชื่นชมความทุ่มเทในการแสดงของเขา โดยเฉพาะฉากแอคชั่นต่อสู้ ที่ยังแผงเอาไว้ด้วยอินเนอร์และอารมณ์ที่รุนแรง คนดูรับรู้ได้ง่ายๆ จากการมองผ่านสายตาที่เขาสื่อสารออกมาได้น่าสะพรึง

รีวิว Deliver Us From Evil

แต่อีกหนึ่งตัวละครที่ถือว่าขโมยซีนสุดๆ ของเรื่องและทำให้หนังผ่อนคลายขึ้นมานิดหน่อย คงต้องยกความดีความชอบให้กับ “พัคจองมิน” ที่ต้องกลายมาเป็นสาวประเภทสองชาวเกาหลีที่มาทำงานอยู่ในบาร์เมืองไทย พร้อมกับชื่อใหม่ที่ชื่อว่า น้องยุ้ย แม้ตัวละครของเขาจะไม่ได้ถูกขยายความมาก แต่สัมผัสเห็นได้ถึงความพยายามและอินเนอร์ในการสื่อสารออกมาได้อย่างตรงไปตรงมา รวมทั้งยังเก่งในการพยายามพูดภาษาไทยได้เข้าใจและฟังออกด้วย

Deliver Us From Evil ที่ถ่ายทำหลักๆ ในเมืองไทย แน่นอนว่าเราจะได้เห็นนักแสดงชาวไทยโผล่มาร่วมเฟรมหลายคน แต่น่าเสียดายที่ไม่มีนักแสดงไทยคนไหนที่โดดเด่นกว่าใครๆ ในเรื่องนี้ เพราะทุกคนมาเพื่อเป็นเพียงตัวละครเสริมและตัวประกอบเพิ่มเข้ามาในหนังเท่านั้น เราได้เห็น “ปู-วิทยา ปานศรีงาม”, “สุเมธ องอาจ” หรือ “สนธยา ชิตมณี” เข้าฉากมาด้วย

โดยภาพรวมแล้ว Deliver Us From Evil ให้มันจบที่นรก เป็นหนังแอคชั่นระทึกขวัญที่มีความเข้มข้นในเนื้อหา แม้บทหนังจะยังไม่หนักแน่นเท่าไหร่ แต่ก็มอบความบันเทิงและความสะใจกับฉากแอคชั่นสุดระห่ำที่นำเสนอออกมาได้ตลอดรอดทาง แม้จะอยู่บนสูตรสำเร็จก็ยังสนุกได้อยู่ หรือแค่ได้ดูการแสดงของ 2 นักแสดงนำของเรื่อง เท่าที่ก็ถือว่าเป็นกำไรของคนดูแล้วจริงๆ

เรื่องย่อ: อินนัม (ฮวังจองมิน) นักฆ่าฝีมือดีพบว่าคนรักเก่าของเขาถูกคนฆ่าตายในประเทศไทย จึงเดินทางมาเพื่อตามหาความจริง ในขณะที่ เรย์ (อีจุงแจ) ก็ถูกอินนัมฆ่าพี่น้องร่วมสาบานของเขาตาย ก็ได้เดินทางมาไทยเพื่อหวังจะล้างแค้นเช่นกัน เกมไล่ล่าสุดอันตรายของ อินนัม กับ เรย์ จึงเปิดฉากขึ้น และทั้งคู่ต้องสะสางให้มันจบที่นรก!

หนังเกาหลีสายแอ็กชันที่เปิดหัวมาด้วยสถิติสุดสวยจากการขายตั๋วได้ถึง 2 ล้านใบภายใน 5 วันที่เกาหลี เอาชนะหนังมาแรงแห่งปีอย่าง Peninsula (ภาคต่อ Train to Busan) ไปได้เป็นที่ประหลาดใจหลายคน แถมขึ้นแท่นหนังแอ็กชันที่ดีที่สุดแห่งปีของเกาหลีจากนักวิจารณ์เกาหลีบางสำนักด้วย

แต่สำหรับคอหนังเกาหลีสายดิบ ความน่าสนใจจะอยู่ที่ว่าหลังจากห่างหายไปกว่า 5 ปี ผู้กำกับ ฮงวอนชาน เขาไปอัปฝีมือมามากขนาดไหนมากกว่า โดยเขาเป็นมือเขียนบทหนังเด่น ๆ ของผู้กำกับ นาฮงจิน มาแล้วทั้ง The Chaser (2007) และ The Yellow Sea (2010) แล้วยังเคยร่วมเขียนบทหนังรางวัลบทยอดเยี่ยมเรื่อง Confession of Murder (2012) ของผู้กำกับ จังเบียงกิล อีกด้วย

หนังเรื่องแรกที่เขาทั้งเขียนบทและกำกับเองอย่าง Office (2015) เองก็ได้รับเลือกไปชิงในสาขา Golden Camera ที่เทศกาลหนังเมืองคานส์ด้วย ซึ่งใครได้ดูหนัง Office มาแล้วก็น่าจะจำได้ดีถึงฝีมือการขยี้วัฒนธรรมเกาหลีที่เป็นส่วนสากลอย่างการทำงานในออฟฟิศ ออกมาได้น่าตื่นเต้น เย้ยหยันและปวดใจได้ขนาดไหน การกลับมาหลังจากบ่มไอเดียนานถึง 5 ปีของเขาใน Deliver Us From Evil ก็ไม่ทำให้ผิดหวังเลย

ซึ่งในครั้งนี้แม้ความคมคายในบทหนังอาจไม่ได้มีมากอย่างที่เราหวัง แต่มันก็เข้มในแนวทางของหนังบู๊ที่หยิบยืมหัวใจของหนังแอ็กชันฮ่องกง หรือหนังแอ็กชันเอเชียอาคเนย์ทั้งจากบ้านเราและอินโดนีเซีย มาผสานกันได้สนุก จะว่าไป ฮงวอนชาน ก็เป็นสายบทหนังธริลเลอร์เข้ม ๆ ดาร์ก ๆ ตัวพ่อเหมือนกันและทำการบ้านมาได้ดีมาก ๆ จึงทำให้ตลอดเวลาเกือบ 2 ชั่วโมงของ Deliver Us From Evil เต็มไปด้วยความเท่ ความดาร์ก และเรื่องราวที่ปูมาสำหรับแอ็กชันได้ลุ้นสุด มันสุด เช่นกัน

ว่ากันตามตรงพลอตของหนังเรื่องนี้ไม่ได้ใหม่อะไรเลย หนังจา พนม หนังบู๊ไทย หรือหนังฮ่องกงเมื่อไม่นานนี้ก็กลิ่นอายแบบเดียวกันเลย แต่ความที่ฮงวอนชานทำการบ้านหนังแอ็กชันโซนนี้มาดีมาก มันจึงตกตะกอนเป็นหนังที่มีไอเดียแตกต่าง ใช้ความชั่วหลายฝักฝ่ายไล่ล่ากันแบบตะลุมบอน โดยมีเด็กน้อยตาใสที่แค่ฉากแรกโผล่มาเราก็ตกหลุมรักอยากเอาใจช่วยอยู่กลางสมรภูมิที่ผู้ใหญ่เลว ๆ ห้ำหั่นกัน

และการเสริมพื้นด้านดราม่าของตัวละครก็เป็นงานถนัดฝั่งเกาหลีที่ีมาเติมเต็มจุดอ่อนของหนังบู๊แบบบ้านเราได้พอดิบพอดี ทำให้เรารู้สึกจริงจังขึงขังกับมันได้มาก แม้บางฉากแอ็กชันจะแฟนซีไม่แพ้หนังไทยยุคเวอร์ ๆ ก็ตาม (ระเบิดรถหมุนสามตลบงี้) แต่ด้วยความสร้างสรรค์มันเลยไม่เด๋อแต่กลายเป็นความเท่มาก ๆ ไปแทน

ยิ่งได้ดาราเบอร์ใหญ่ของหนังเกาหลีอย่าง ฮวังจุงมิน ที่บ้านเราอาจคุ้นหน้าจากหนัง The Battleship Island และ Asura: The City of Madness หรือหนัง The Wailing ก็ด้วย ซึ่งรับประกันฝีมือด้วยรางวัลนักแสดงชายยอดเยี่ยมจากเวที Blue Dragon Film Awards มาถึง 2 ตัว และเมื่อมาประชันบทกับ อีจุงแจ ซึ่งก็คุ้นหน้าดีจากหนังใหญ่อย่าง The Housemaid (2010) และ Along With the Gods: The Two Worlds (2017) ซึ่งทั้งสองคนนี้ยังเป็นการกลับมาชนกันในหนังอีกครั้งหลังจากเคยขับเคี่ยวกันมาแล้วใน New World (2013) ด้วย

และที่ต้องพูดตามหัวเรื่องเลยคือ ตลอดเวลาที่ดูมันเต็มไปด้วยความรู้สึกเสียดาย เห็นฉากหลังเป็นเมืองไทย เห็นตัวละครประกอบเป็นดาราไทย เห็นโปรดักชันส่วนแอ็กชันที่รู้ว่างานไทยประดิษฐ์ แล้วมันจุกอก เราเชื่อจริง ๆ ว่าหนังไทยมันทำแบบนี้ได้ ถึงมันจะไม่ใช่หนังที่ดีเลิศไปชิงออสการ์แต่มันเป็นหนังบันเทิงสินค้าส่งออกที่เราเคยทำอยู่มือมาก ๆ แล้วเรื่องนี้ทำให้รู้เลยว่าถ้ามีทุน มีการสนับสนุนดี ๆ จากรัฐ และวิสัยทัศน์ผู้สร้างกับบทที่ดีหน่อย หนังบู๊ไทยยังไปได้อีกไกลมาก เสียดายจริง ๆ ที่จิตวิญญาณหนังบู๊ไทยในวันนี้ต้องไปยืมร่างหนังเกาหลีเขาให้มีตัวตนอยู่เสียแล้ว