รีวิว Halloween Kills

ในปี 2018 ผู้กำกับเดวิด กอร์ดอน กรีน (David Gordon Green)ได้รับมอบหมายให้หยิบตำนาน Halloween มาปัดฝุ่นใหม่ หลังจากที่ ร็อบ ซอมบี้ (Rob Zombie) เคยพยายามมาแล้วแต่ก็ไปได้แค่ 2 ภาค Halloween (2007) และ Halloween II (2009) เพราะหนังได้เสียงตอบรับไม่ดีนัก เดวิด กอร์ดอน กรีน ก็ประกาศไว้ชัดเจนว่าจะสร้างหนังออกมาเป็นไตรภาคและปิดตำนาน ไมเคิล มายเออร์ ในภาคหน้า Halloween Ends วางกำหนดฉายไว้แล้วในปี 2022 ซึ่งสามารถรับชมได้แล้วตอนนี้ที่ ดูหนังออนไลน์

 

รีวิว Halloween Kills

 

หนัง Halloween (2018) เปิดตัวได้อย่างสวยงาม แม้ว่าจะเป็นภาคที่ 11 แต่หนังก็ย้อนไปเล่าเรื่องราวต่อจาก Halloween (1987) ที่ทิ้งช่วงห่างกันยาวนานถึง 40 ปี และก็เล่าเรื่องราวได้อย่างน่าติดตาม จัดวางสัดส่วนดราม่าและสยองขวัญได้อย่างลงตัว ปูทางไปถึงฉากไคลแมกซ์ได้อย่างสุดระทึก ทำให้ Halloween (2018) เป็นอีก 1 ภาคที่ได้คะแนนมะเขือเทศสด 79% ตามหลังแค่ภาคปฐมบทที่ได้ไป 96% พอเว้นช่วงมา 3 ปี Halloween Kills ภาคล่าสุดนี้ก็ตามออกมาพร้อมกับความคาดหวังของคนดูว่าหนังจะต้องมีคุณภาพได้ใกล้เคียงกับภาคที่แล้ว แต่ผลออกมากลับน่าผิดหวัง เพราะเนื้อหาแทบจะไม่เดินหน้า เหมือนกับออกมาทำหน้าที่เป็นแค่ภาคคั่นเวลา เชื่อมต่อภาคแรกกับภาคอวสานเท่านั้น

หนังสานต่อจากกาคที่แล้วแบบนาทีต่อนาทีเลย หลังจากที่ลอรี่ สโตรด ขังไมเคิล มายเออร์ ไว้ในบ้านที่กำลังไฟลุกไหม้ เธอมั่นใจว่าเธอและลูกสาวรวมถึงหลานสาวได้ร่วมกันสังหารมายเออร์ได้สำเร็จแล้ว แต่กลับกลายเป็นว่า ตำรวจดับเพลิงมาถึงที่เกิดเหตุได้ทันเวลา เลยกลายเป็นการช่วยมายเออร์ให้รอดชีวิตโดยปริยาย มันก็เลยออกสังหารผู้คนอีกครั้ง ต้องมาดูที่ เว็บดูหนัง

หลังจากมายเออร์หนีรอดออกมาจากบ้านของสโตรดได้ มันก็กลายเป็นข่าวใหญ่ ทอมมี่ ดอยล์ รับหน้าที่หัวเรือใหญ่ปลุกระดมชาวบ้านให้หยิบอาวุธมาออกตามล่าไมเคิล มายเออร์ ซึ่งหลายคนก็ถูกเปลี่ยนสถานะจากผู้ล่ากลายเป็นเหยื่อเสียเอง ก็เลยกลายเป็นอีกภาคที่เล่าเรื่องแบบสูตรสำเร็จของหนังสยองขวัญ แนะนำตัวละครใหม่ ๆ ขึ้นมา แล้วค่อยมาคิดกันว่าจะให้ไมเคิล มายเออร์ จัดการกับตัวละครแต่ละตัวด้วยวิธีการอย่างไรบ้าง

 

 

ส่วนเจมี่ ลี เคอร์ติส (Jamie Lee Curtis) ในบท ลอรี่ สโตรด ก็ถูกลดทอนบทบาทลงจากสถานะนำหญิงในภาคก่อน เพราะภาคนี้เธอเธอกลายเป็นผู้ป่วยนอนอยู่ในโรงพยาบาลทั้งเรื่อง จูดี้ เกรียร์ (Judy Greer) ในบทแคเร็นลูกสาวของลอรี่ และแอลลิสันหลานสาวก็เลยมีบทบาทมากขึ้น แต่ก็ถูกแบ่งเวลาไปให้กับบรรดาตัวละครอีกมากมายที่เสริมเพิ่มเข้ามาในภาคนี้

ดูเหมือนว่าทีมเขียนบทกลุ่มเดิมที่ประกอบไปด้วย เดวิด กอร์ดอน กรีน, แดนนี่ แม็กไบรด์ และ เจฟ แฟรดลีย์ อยากจะเอาใจแฟนเดนตายของแฟรนไชส์ Halloween ก็ไปขุดเอาทีมนักแสดงจาก Halloween ภาคแรกปี 1978 และ Halloween II (1981) หลายคนกลับมาเล่นในบทบาทเดิม ทำให้หนังจำเป็นต้องหมดเวลาช่วงต้นไปหลายนาทีเพื่อแทรกภาพแฟลชแบ็กแนะนำตัวละครเหล่านี้ว่าเป็นใครกันบ้าง ก็ไม่รู้นะว่าการทำแบบนี้มันจะทำให้แฟนเดนตายดีใจกันไหม กับการได้เห็นตัวละครที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไรมากมายเลยในภาคแรก ๆ แล้วกลับมาปรากฏตัวบนจออีกครั้งใน 40 ปีต่อมา ซึ่งสุดท้ายพวกเขาก็ทำหน้าที่แค่เป็นเหยื่อให้กับมายเออร์แค่นั้น ดูหนัง

ทีมเขียนบทคงจะรู้ละว่าเนื้อหาในภาคนี้มันเบาเกินไป ก็เลยพยายามจะสอดแทรกสาระเข้ามา ด้วยการถ่ายทอดภาพชาวบ้านลุกฮือกันด้วยความโกรธแค้น กลายเป็นความโกลาหลจนตำรวจควบคุมสถานการณ์ไม่อยู่ ฝูงชนตามไล่ล่าผู้ต้องสงสัยที่พวกเขาคาดเดาว่าเป็นไมเคิล มายเออร์ สุดท้ายก็ลงเอยอย่างน่าสยดสยอง สารที่สื่อในฉากนี้ก็ชัดเจนแล้วว่า คนเราล้วนก็มีความบ้าคลั่งในฐานะผู้ล่าไม่ต่างกับไมเคิล มายเออร์ ที่จริงแค่นี้ก็สื่อได้ชัดแล้ว แต่บทก็ยังต้องยัดเยียดให้ตัวละครพูดคำนี้ออกมาอีกด้วย

 

รีวิว Halloween Kills-1

 

รีวิว Halloween Kills บทสรุปของหนังเรื่องนี้

ในช่วงไคลแมกซ์ บทหนังเขียนให้ไมเคิล มายเออร์ ต้องเจอกับสถานการณ์คับขันที่สุดที่มันเคยเผชิญมา ที่ดูยังไงก็ไม่น่าจะรอดละ ซึ่งน่าติดตามล่ะว่า เมื่อทีมเขียนบทตั้งโจทย์ยาก ๆ ให้ไมเคิลเจอสถานการณ์แบบนี้แล้ว จะหาทางเขียนให้ไมเคิล มายเออร์ รอดมาได้อย่างไร เพราะนี่ยังไม่ใช่ภาคอวสาน แต่แล้วบทหนังก็เขียนให้มายเออร์พลิกสถานการณ์กลับมาเป็นฝ่ายได้เปรียบเฉย ๆ ซะงั้น แบบไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย อย่างว่าละเพราะเขียนโจทย์มายากเกินไปนี่นะ

ถึงตรงนี้ก็หวังได้เพียงว่าใน Halloween Ends ทีมเขียนบทจะปิดตำนาน Halloween ได้สวย กลับมาได้มะเขือเทศสดอีกสักภาค แต่สำหรับภาคนี้นั้น ก็ทำหน้าที่ได้เพียงหนังเอาใจคอหนังเชือดอีกเรื่องหนึ่งเท่านั้น เพราะหนังอุดมไปด้วยฉากฆ่าเหยื่อที่สุดโหด ให้ดูกันแบบจุใจ ไม่เน้นตุ้งแช่มากนัก ถ้าจะมีสะดุ้งก็จะเป็นสะดุ้งเพราะเสียงประกอบมากกว่าภาพบนจอ ส่วนเนื้อหาในภาคนี้นั้น ถ้าข้ามไปดูภาคจบเลย ก็คาดว่าดูรู้เรื่องเป็นแน่ เพราะเป็นภาคที่แนะนำตัวละครใหม่ขึ้นมาให้มายเออร์ฆ่า ฆ่า ฆ่า แล้วก็จบไปแบบไม่มีอะไรให้น่าจดจำ

 

 

หลังจากที่ลอรี สโตรด (เจมี่ เคอร์ติส), คาเรน ลูกสาวของเธอ (จูดี้ กรีเออร์)และอัลลิสัน หลานสาวของเธอ (แอนดี้ มาติชัค) รอดชีวิตมาจากกองเพลิงและฝังไมเคิล ไมเออร์สไว้ยังใต้ถุนบ้าน ทว่าเมื่อหน่วยดับเพลิงพยายามเข้าไปเคลียร์พื้นที่ ส่งผลให้ฆาตกรอำมหิตหลุดออกมาจากบ้านของลอรี และเดินหน้าสังหารทุกชีวิตที่มันพบเจอ ตั้งแต่เจ้าหน้าที่ดับเพลิง เพื่อนบ้านของลอรี่ ไปจนถึงชาวเมือง

ในขณะเดียวกันเมื่อข่าวที่ไมเคิลกลับมาเยือนเมืองแฮนดอนฟิลด์อีกครั้ง ทำให้บรรดา “เหยื่อ” ผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์สังหารหมู่เมื่อ 40 กว่าปีก่อน พยายามรวมตัวและปลุกระดมชาวเมืองให้ปกป้องชีวิตตัวเอง โดยมีทอมมี ดอยล์ (แอนโธนี ไมเคิล ฮอลล์) เป็นหัวหอกนำทีมว่า “มัจจุราช” จะต้องตายคืนนี้ และเขากล่าวโทษความล้มเหลวของหน่วยงานตำรวจที่ไม่อาจจะปราบปรามไมเคิลให้ได้ ส่งผลให้ชาวเมืองต้องล้มตาย ดังนั้นวินาทีคับขันเช่นนี้ ระบบ “ศาลเตี้ย” เท่านั้นคือทางออก

ถ้าจะมองในแง่หนังสยองขวัญไล่เชือด Halloween Kills มีความแตกต่างจากหนังภาคแรกตรง ภาคนี้ให้น้ำหนักกับเหล่าชาวเมืองคนอื่นๆ ว่าพวกเขามีความรู้สึกอย่างไรกับเหตุการณ์ที่ฆาตกรออกอาละวาด สังหารคนไปทั่ว ในขณะที่หลายๆคนที่มาชุมนุมกันอยู่ที่โรงพยาบาลประจำตัวเมือง เพียงเพราะพวกเขาเชื่อว่าไมเคิล จะต้องเดินทางมาคิดบัญชีกับลอรี่ ที่กำลังพักรักษาตัวอยู่ เมื่อชาวเมืองปักใจเชื่อเช่นนั้น ทันทีที่ “ใครสักคน” ปรากฏตัวขึ้นและน่าสงสัยว่าน่าจะเป็นไมเคิล ไมเออร์ส (ทั้งที่ไม่มีใครเคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของฆาตกรรายนี้มากว่า 40 ปี) ด้วยความโกรธเกรี้ยว พวกเขาจึงออกไล่ล่าชายเคราะห์ร้ายจนส่งผลให้เขาหวาดกลัวและตัดสินใจปลิดชีพตัวเองด้วยการกระโดดลงมาจากตึกโรงพยาบาลเสียชีวิตทันที

 

 

เปิดเรื่องด้วยการฉายถึงเรื่องราวในวันที่ 31 ตุลาคม 1978 ซึ่งเป็นช่วงที่ตำรวจกำลังออกตามจับฆาตกรไมเคิล ไมเยอร์ส ที่ได้ฆ่าวัยรุ่นสามคน ซึ่งทำได้ชวนลุ้นดี จากนั้นก็ตัดเข้าเรื่องฉายถึงตัวละครตอนโตที่เคยเจอกับฆาตกรในช่วงเปิดเรื่อง ก่อนที่จะตัดมาที่ตัวละครในภาคแรกที่รอดมาได้ ซึ่งดำเนินเรื่องต่อเนื่องกันเลย เนื้อเรื่องไม่มีอะไรมากเหมือนเดิม แต่ยังคงใช้ดนตรีประกอบเหมือนเดิมและฉากฆ่าที่โหดขึ้น

โดยมีเล่าถึงเรื่องราวของฆาตกรและเรื่องราวในภาคแรกบ้างเล็กน้อย จากนั้นก็ฉายถึงเหยื่อที่ต้องเจอกับฆาตกรเป็นช่วง ๆ ซึ่งเดาเรื่องได้ไม่ยากและบางช่วงค่อนข้างน่าเบื่อไปหน่อย โดยช่วงกลางเรื่องเป็นต้นไปจะเป็นช่วงที่ตัวละครออกตามล่าฆาตกร พร้อมทั้งเปิดเผยเรื่องราวในช่วงเปิดเรื่องด้วยการฉายย้อนตัดไปมาและสรุปเรื่องราวก่อนจบ ซึ่งชวนลุ้นดี แต่ฆาตกรอึดเว่อร์เกินไปหน่อย

 

รีวิว Halloween Kills-3

 

สรุปแล้วหนังเรื่องนี้

ซีรีย์ฮัลโลวีนมีความเก่าทันสมัย สยองขวัญ. เช่นเดียวกับแนวเพลง Michael Myers ไม่สามารถและจะไม่ตาย เขาได้เผชิญหน้ากับลอรี สโตรดอีกครั้ง ซึ่งเมื่อเราพบเธอครั้งสุดท้าย ได้หลบหนีไปขณะที่บ้านที่ถูกไฟไหม้พังทลายลงรอบๆ นักฆ่าที่ไม่สามารถฆ่าได้

ท่ามกลางความหวาดกลัวและความบ้าคลั่ง ลอรี่ สโตรดกล่าวว่าเหตุการณ์ทุกอย่างลุกลามบานปลายถึงเพียงนี้ เพราะไมเคิลได้สร้างความหวาดกลัวให้กับชาวเมืองแฮนดอนฟิลด์จนพวกเขาตัดสินใจจะใช้ความรุนแรงเพื่อโต้ตอบกลับ อย่างไรก็ตามทีคนดูก็พอน่าจะทราบอยู่กลายๆ ว่าในเมื่อ Halloween Kills เป็นภาคตรงกลางก่อนที่ทุกอย่างจะไปปิดท้ายในบทสรุปภาค Halloween Ends ในปี 2022 ดังนั้นคนดูจึงพอจะทราบอยู่แล้วว่า ยังไงไมเคิล ก็ยังไม่ถูกกำราบในภาคนี้ และจะกลับมาไล่ฆ่าคนต่อในหนังภาคต่อไปอย่างแน่นอน ดังนั้นการมีอยู่ของตัวละครนี้จึงเปรียบเสมือน “ความชั่วร้าย” ที่ไม่อาจจะกำจัดได้ด้วยความรุนแรง แต่สุดท้ายแล้วฆาตกรใต้หน้ากากคนนี้จะจบชีวิตในหนังภาคต่อไปด้วยรูปแบบใด อันนี้คือประเด็นที่น่าสนใจที่ “ภาคหน้า” คงจะให้คำตอบที่น่าพอใจสำหรับผู้ชม

 

 

บทวิจารณ์สำหรับ Halloween Kills ยังเร็วเกินไป จึงมีมากมาย เวลาสำหรับฉันทามติที่สำคัญจะเปลี่ยนแปลง ตอนนี้พวกเขากำลังผสมปนเปกัน โดยมีบทวิจารณ์ส่วนใหญ่อยู่ในช่วงบวกถึงปานกลาง และหากท่านอยากรับชมบทความดีๆแบบนี้สามารถติดตามได้ที่ รีวิวหนังผี

ใส่ความเห็น