รีวิว Scream 4 (2011) หวีดแหกกฏ

เอาจริงๆเลยกับ Scream ภาคนี้ที่เหมือนจะไม่มีประเด็นอะไรมาเล่นแต่ยังรู้จักก้าวไปกับสมัยได้อย่างมีชั้นเชิงจนตัวเองแอบปลื้มๆกับสไตล์เนื้อเรื่องภาคนี้อย่างมากจนชอบพอๆกับภาคแรกที่ไม่ต่างกับการบุกเบิกธรรมเนียมหนังสยองขวัญด้วยการเสนอภิปรายกฎหนังสยองให้ฟังพร้อมหาข้อปฏิบัติเพื่อแสดงผลให้ดูว่าเพราะอะไรยังไงต่อไป ไม่ว่าจะเป็นตัวละครที่ไม่ได้เป็นมากกว่าตัวละครที่ถูกเชือดเพื่อให้ตายแต่มันต้องแสดงถึงกลเม็ดวิธีบางอย่างออกมาตามกฎ หรือจะสถานที่ที่ไม่เชิงว่าปิดตายแค่ขอมีสติพร้อมจะวิ่งออกนอกบ้านตามประตูหน้าต่างแทนที่จะวิ่งขึ้นบันได แม้กระทั่งแรงจูงใจของบรรดาเหล่าฆาตกรภายใต้เบื้องหลังแต่ละคนว่าทำไปเพื่อเจตนารมย์สิ่งใดอย่างมีเป้าหมาย ไม่ใช่เพื่อสนองความอยากอย่างงไร้เหตุผล

สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ตั้งเป้าเอาไว้ว่าทุกสื่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นใน Scream ต้องมีวัตถุประสงค์ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่ผลลัพธ์จะลอยลงมาอย่างไม่มีเหตุให้อธิบายแบบหนังทั่วๆไปที่ตายกันง่ายบ้างโชว์ความงี่เง่าบ้าง ซึ่งเอาเข้าจริงภายใต้สถานการณ์เหล่านั้นเราเองก็เป็นแบบนั้นได้เช่นกัน อย่ามานั่งบ่นเวลากำลังรับชมหนังให้ใครฟังว่ามันก็อีหรอบเดิม สูตรเดิม จะเชือดจะตายยังไงเดาได้หมด ขาดความสดใหม่ปราศจากความคิดสร้าสรรค์ มาลองโดนไล่ฆ่าดูหน่อยไหมจะได้รู้ซึ้งเหตุผลที่ทำไมตัวละครไม่มีอะไรให้เซอร์ไพรส์ เพราะเรื่องเซอร์ไพร์สคือเรากำลังโดนเชือด

รีวิว Scream 4 (2011) หวีดแหกกฏ

ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่าที่ Scream 4 เหมือนจะประยุกต์กับไตรภาคก่อนหน้านี้อย่างเนียนๆราวกับยืมมุขเก่ามาใช้แต่สไตล์วิธีกาารนำเสนอแตกต่างกันออกไป ยิ่งกับใครที่ลองสังเกตในจุดเล็กๆแต่ละจุดจะพบว่าภาคนี้คือภาคผนวกที่หยิบทุกอย่างมาเล่าให้หมด ทั้งกฎดั้งเดิม ตัวละครใหม่ที่มีความคล้ายคลึงตัวละครเก่า สถานที่อย่างเมืองวู๊ดสโบโร แรงจูงใจของตัวฆาตกร แม้กระทั่งตัวโกสต์เฟซที่ยึดมั่นในความเป็นต้นฉบับใส่หน้ากากผีค้างยาวถือมีดสั้นพร้อมกับผ้าคลุมตัวสีดำที่สามารถเป็นใครก็ได้ในเนื้อเรื่อง ชอบมากนะที่ใครก็สามารถเป็นโกสต์เฟซไล่ฆ่าคนได้แม้ความจริงจะเป็นอีกคนก็ตามกับการเฉลยในตอนท้ายเรื่อง

คือเนื้อเรื่องมีน้ำหนักจะเสนอแรงจูงใจของตัวละครค่อนข้างชัดเจนว่าต่างมีปัญหา(เว้นกับบางตัวละครที่เห็นชัดว่าไม่มีทางเป็นผู้ร้ายได้) และด้วยหารนำมาหยิบใช้อย่างเนียนๆนี่แหละที่ทำให้ตัวเองนึกขึ้นทันทีเลยว่ากำลังกัดจิกหนังประเภทไหนอยู่ ซึ่งหนังดังกล่าวเป็นสิ่งที่อยู่ควบคู่กับฮอลลีวู้ดเสมอในการผลักหนังที่ไม่ค่อยดังแต่ดังได้หรือเก่าแล้วกลัวจะลืมจึงมาสร้างใหม่ ถ้าคิดดีๆจะพบว่าหนังเหล่านี้คือ”หนังรีเมค” กรณีแตกต่างจากต้นฉบับแต่คงเค้าเดิมๆคือ”หนังรีบู๊ต” และกับ Scream 4 คือข้อกังขาที่อยู่ระหว่างตรงกลางนั้นว่าควรจะเป็นด้านใดดีในเมื่อหลายสิ่งหลายอย่างส่อแววถึงต้นฉบับชัดเจนพอสมควร โดยเฉพาะเรื่องกลิ่นอาย   ดูหนัง

รีวิว Scream 4 (2011) หวีดแหกกฏ

เนื้อเรื่อง

การกลับมาของภาคนี้เริ่มด้วยไอเดียของ Bob Weinstein ผู้บริหาร Dimension Films ที่จัดจำหน่ายหนังชุดนี้มาโดยตลอด ซึ่งเขาอยากให้หนังชุด Scream ได้กลับมาเริ่มต้นเรื่องราวไตรภาคใหม่อีกครั้งหลังจากจบภาค 3 ไปได้เป็นเวลา 10 ปี แล้วเขาก็เริ่มติดต่อ Wes Craven ผู้กำกับคนเดิมให้มาทำ ซึ่ง Craven ก็เอ่ยปากว่าเขาจะยอมมากำกับ หากบทหนังภาคนี้ดีไม่แพ้ภาคแรกเท่านั้น

ทีนี้เพื่อความชัวร์ว่าบทหนังจะออกมาดีและมีกลิ่นอายของ Scream แบบเต็มๆ ก็ต้องไปขอแรง Kevin Williamson ผู้ให้กำเนิดหนัง Scream ให้ช่วยมาสร้างบทหนังตอนใหม่ให่้้ซึ่งเขาก็ยินดีครับ ได้ร่างบทขึ้นมาฉบับหนึ่ง แต่ปัญหาคือเขายังเขียนบทไม่ทันเสร็จ ก็มีอันต้องไปทำหนังเรื่องอื่นตามสัญญาที่ผูกมัดเอาไว้ ทำให้ Weinstein ตัดสินใจเรียกตัว Ehren Kruger (ที่เคยเขียนบท Scream 3) ให้กลับมาเพื่อสานต่อบทที่ Williamson เขียนไว้ โดยครั้งนี้ Craven ออกมายืนยันว่า Kruger ได้คงเนื้อเรื่องส่วนใหญ่ไว้ตามความต้องการของ Williamson

สำหรับเรื่องราวก็เป็นเหตุการณ์หลังจากภาค 3 ประมาณ 10 ปี เมื่อซิดนี่ย์ เพรสค็อตต์ (Neve Campbell) กลับมาแวะเมืองวู๊ดสโบโรอีกครั้งเพื่อโปรโมตหนังสือของเธอ แต่ฝันร้ายครั้งใหม่ก็เกิดขึ้นเมื่อมีเด็กวัยรุ่น 2 คนถูกฆาตกรรมในคืนก่อนที่ซิดนี่ย์จะเปิดงานโปรโมต ทำให้การตามล่าหาโฉมหน้าที่แท้จริงของไอ้หน้าผีจอมเชือดต้องเริ่มต้นอีกครั้ง ก่อนที่ผู้บริสุทธิ์จะต้องตายไปมากกว่านี้   ดูหนังออนไลน์

รีวิว Scream 4 (2011) หวีดแหกกฏ

การดำเนินเรื่อง

แถมตัวละครใหม่ๆที่มีจุดเด่นจนเราคุ้นเคยเมื่อไปเปรียบเทียบกับตัวละครเก่าๆ จะว่ากันตามตรงคือมันเป็นอะไรที่พิเศษในแง่การเล่าเรื่องที่ไม่รู้จะไปต่อยังไงแล้วสามารถทำให้ไปต่อได้อย่างอิสระ ไม่มีการอิงภาคเก่าๆไม่มีอะไรที่สอดคล้องสอดแทรก เนื้อเรื่องสามารถเป็นเอกเทศตัวเองได้โดยไม่ต้องห่วงว่าจะต้องไปดูภาคก่อนหน้านี้(แต่จะอรรถรสอย่างมากถ้าดูไตรภาคกันมาก่อน) ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้นต้องปรบมืออีกครั้งให้กับผู้เขียนบทที่เป็นถึงผู้สร้างตั้งแต่ภาคแรกอย่าง Kevin Williamson ทว่าในภาคนี้ทำเพียงร่างบทเอาไว้เท่านั้นเนื่องจากติดพันสัญญาในการเขียนบทเรื่องอื่นๆ ผู้ที่เติมเต็มคือ Ehren Kruger เจ้าเดิมที่มาช่วยให้บทหนังสมบูรณ์มาแล้วในภาคสาม

รีวิว

อย่างแรกที่ตัวเองรู้สึกได้เลยคือความสดใหม่ที่ตัวหนังกำลังเล่น อาจจะตามสูตรบ้างแหกกฎบ้างแล้วแต่สไตล์การเซอร์ไพร์สที่มีมาเป็นระยะๆ เช่น ตอนเปิดเรื่องที่พาหนังซ้อนหนังและซ้อนหนังอีกทีแถมยังพาชวนเปิดประเด็นสูตรหนังสยองขวัญเป็นการปูพื้นฐานผู้ชมว่าอะไรคือกฎที่ตายตัวในแนวประเภทนี้ ยิ่งเวลาดูหนังที่ตัวเองรู้ว่าจะเป็นยังไงเพราะเดาได้จะรู้สึกแบบไหนหรือคนข้างๆจะเกิดอารมณ์เช่นไรเวลามีคนพรรณาเกี่ยวกับฉากต่อไปในทำนองบ่นๆ แม้กระทั่งกฎของหนังภาคต่อที่ต้องสาดเลือดกว่าเด็ดกว่ากระทั่งเซ็กซ์ที่อาจเพิ่มขึ้น เท่านี้ยังไม่หมดแต่มันต้องรวมถึงเนื้อเรื่องที่ยิ่งไร้เหตุผลขึ้นเรื่อยๆจนกลายเป็นแนวบันเทิงอารมณ์ที่ผู้ชมไม่ได้มองกันที่สาระกันอีกต่อไปเพียงแค่ขอความสะใจมาก่อน อาทิ Saw ที่แรกดั้งเดิมคือหนังสยองขวัญที่อิงหลักการให้ความสำคัญของชีวิต จนยิ่งมีภาคต่อเรื่อยๆก็เริ่มหาสาระน้อยลงไปขณะที่การทรมานบันเทิงได้เพิ่มขึ้น หรือ Hotel ที่เป็นแนวทรมานบันเทิงตั้งแต่แรกเริ่มแต่ได้ความนิยมทั้งที่ควรเป็นหนังคัลท์เฉพาะกลุ่ม ก็ดูเหมือนว่าภาคผนวกนี้จะเสิร์ฟจานหลักเยอะเหมือนกัน ทว่าที่เป้าหมายจริงๆไม่ใช่การมิคทุกอย่างมาเป็นเนื้อเดียวกันเท่านั้นเพราะนี่เป็นการเรียกตัวเองกลับมาแบบคืนสู่เหย้าที่ได้แนวคิดมาจาก Bob Weinstein ผู้บริหาร Dimension Films ที่เกิดอยากให้ Scream มีไตรภาคอีกชุดหนึ่ง  ดูหนัง4k

รีวิว Scream 4 (2011) หวีดแหกกฏ
รีวิว Scream 4 (2011) หวีดแหกกฏ

อย่างที่บอกครับว่าภาคนี้ผมชอบรองจากภาคแรกทีเดียว มันสนุกครับ เป็นหนังสยองไล่เชือดที่สนุก น่าติดตาม และยังมีการขุดเอาของดีจากภาคแรกย้อนมารีไซเคิลใหม่อย่างได้ผลของดีอันแรกคือ การเดินเรื่องที่ฉับไวครับ ซึ่งข้อดีของมันก็มี 2 ประการ ประการแรกคือทำให้หนังเดินหน้าไปไม่น่าเบื่อ และข้อ 2 คือ ยิ่งเดินเรื่องไวก็ยิ่งอำพรางจุดอ่อนบางอย่างของหนังลงได้ ว่าง่ายๆ คือเดินเรื่องไวเพื่อตีเนียนนั่นล่ะครับ และนั่นก็อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้หนังภาคนี้ดู Smooth ไม่ค่อยมีอะไรให้สะดุดของดีอันที่ 2 คือ อารมณ์ขันมันส์ๆ ฮาๆ ไม่ว่าจะการจิกกัดหนัง (เช่น Stab 6 และ 7) กัดสูตรหนังสยอง กัดหนังรีเมค กัดกันไปมา มุกเหล่านี้ทำให้หนังดูสนุกขึ้นเยอะของดีอันที่ 3 คือ ฆาตกรฉลาดที่จะลงมือครับ ถ้าสังเกตจะพบว่าฆาตกรหน้าผีในภาคนี้มันจะลงมือเมื่อแน่ใจจริงๆ แล้วเท่านั้น ไม่ได้ไล่ฟันเปะปะ ขนาดการฆ่าแล้วทิ้งศพ บางครั้งก็ยังทำเพื่อหวังผลบางประการเลยน่ะครับ หรือเรียกว่าเป็นส่วนหนึ่งของแผนนั่นเอง   ดูหนังออนไลน์4k

รีวิว Scream 4 (2011) หวีดแหกกฏ

รีวิว หวีดแหกกฏ

แล้วถ้ามองไปถึงเหตุจูงใจของฆาตกรแล้ว ก็นับว่าเป็นอะไรที่น่าสนใจ เข้าสมัย และชวนให้ผวาได้เหมือนกันถ้ามันมีจริงๆ ขึ้นมา (ที่น่ากลัวมากขึ้นอาจเพราะ มันเป็นไปได้!)ของดีอันที่ 4 คือ การฟื้นฟูมิติตัวละคร ดึงจุดเด่นออกมาให้คนดูจดจำ โดยเฉพาะตัวละครชุดใหม่ครับ และถ้าดูดีๆ จะพบว่าพวกเขาคือตัวแทนของตัวละครในภาคแรกสุด จิลล์ (Emma Roberts) ก็คือซิดนี่ย์, เคอร์บี้ (Hayden Panettiere) ก็เหมือนทาตั้ม อะไรทำนองนั้นน่ะครับของดีเหล่านี้กลับมาประจำการในหนังอีกครั้ง ถึงแม้มันจะไม่ได้ลงตัวลงล็อคเท่าภาคแรก แต่ก็ถือว่าน่าพอใจและเรียกบรรยากาศสยองแบบ Scream กลับมาได้อย่างน่าพอใจนอกจากของดีของเก่าที่เอามารีเมคใหม่ ก็ยังมีของใหม่ใส่ลงไปไม่ว่าจะการกระชากกฎเดิมๆ ทิ้ง การฆ่าในเรื่องจึงดูจะไร้ทิศทางเหมือนจะคาดเดาได้ยากขึ้น แต่จริงๆ ก็ยังมีที่เดาได้ง่ายไม่เปลี่ยนคือ ใครน่าจะตายบ้าง ดูโหงวเฮ้งก็เดาได้น่ะครับอันนี้ 555

เรื่องย่อ

เล่าเรื่องราวต่อจากภาค 3 ที่ผ่านมา 10 ปี ซิดนี่ย์ เพรสคอตต์ ก็ได้กลับมายังเมืองวู๊ดส์โบโรอีกครั้งเพื่อทำการโปรโมทหนังสือที่เธอเขียน แต่กลับมาไม่ทันไรก็เกิดเหตุฆาตกรรมวัยรุ่นในเมืองขึ้นอีกครั้ง โดยมีเธอที่จะกลายเป็นเหยื่อรายต่อไป จนทำให้นายตำรวจ ดิวอี้ และนักข่าว เกล เวอธอร์ส ต้องร่วมมือกันตามหาฆาตกรสวมหน้ากากโกสต์เฟสกันอีกครั้ง ก่อนที่จะมีผู้เคราะห์ร้ายเพิ่มขึ้นอีกในเมือง

หมวดหมู่ : Horror Mystery
สัญชาติ : American
กำกับโดย : Wes Craven
ความยาว : 1 ชั่วโมง 51 นาที
นักแสดงนำ : Neve Campbell, Courteney Cox, David Arquette

สรุปโดยรวม

สำหรับ Scream 4 เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่เป็นแฟนหนัง Scream มาตั้งแต่เริ่ม หรือหากนับจริงๆ ก็คือตั้งแต่ภาคหนึ่งที่ปี 1996 ที่หากใครชอบหนังแนว Slasher หรือไล่เชือดมาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว หรือต้องการหาความแปลกใหม่จากหนังแนวนี้ นี่จะเป็นหนังชุดที่ตอบโจทย์เป็นอย่างมากมาโดยตลอด แม้ว่าเรื่องราวมันจะชุลมุนวุ่นวาย และดูเหนือเหตุและผลไปบ้าง แต่หากมองในแง่ความบันเทิง เอาสะใจ ให้ชวนคิดถึงบรรยากาศเดิมๆ แล้วนั้น ก็เรียกได้ว่าหนังตอบโจทย์ให้กับเราได้เป็นอย่างดี ทำให้ใครที่ชอบหนัง Scream ภาคเดิมๆ มาอยู่แล้ว หรือหนังแนว Slasher ฆาตกรหน้ากาก อย่าง I know what you did last summer หรือ Halloween อะไรพวกนี้แล้ว รับรองเลยว่าเหมาะมากๆ

Scream นั้นนับเป็นอีกหนึ่งตำนานหนังแนว Slasher ของยุค 90s ท่ามกลางหนังไล่เชือดที่ทำกันออกมาเป็นสูตรสำเร็จแบบเดิมๆ ที่เหล่าวัยรุ่นมักเป็นเหยื่อ ของฆาตกรสุดโหดใส่หน้ากาก แต่ Scream กลับสร้างความโดดเด่นของตัวเอง โดยการทำตัวเป็นหนังสายรู้ทัน ที่คิดดูคิดทันมุขทุกอย่างที่มักเกิดในหนังประเภทนี้ อีกทั้งยังใส่การหักมุมฉีกกฏได้อย่างสนุกมาก จนกระทั่งการมาถึงของภาค 4 ที่ทิ้งห่างจากภาคก่อนมาถึง 11 ปีในเวลาจริง และห่าง 10 ปีในเรื่องราว ที่ยังไม่หมดมุขไปซะทีเดียว เพราะงวดนี้มันกลับมาพร้อมกับการรู้ทันหนังจำพวกรีเมคที่ออกมามากมายในช่วงที่ผ่านมาเช่นกัน

แต่ดูเหมือนผู้กำกับอย่าง Wes Craven ที่คร่ำหวอดมาในวงการหนังสยอง และเป็นผู้ให้กำเนิดหนังชุด Scream มาโดยตลอดนั้น จะเข้าใจระบบการรีเมค รีบู้ตเป็นอย่างดี และหยิบเอาสิ่งที่ควรจะเป็นมาใช้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการพยายามยึดโยงเรื่องราวให้เข้ากับภาคก่อนๆ ด้วยตัวละครอันเป็นที่รัก อีกทั้งยังใช้พล็อตเรื่องแบบเดิมที่คนชอบ แต่เติมสีสันในยุคใหม่เข้าไปด้วยตัวละครที่ใหม่ขึ้น มุขที่สดขึ้นให้เข้ากับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป มันเลยทำให้ตัวหนังนั้นมีความสดใหม่ และการคารวะของเดิมไปในเวลาเดียวกันได้อย่างน่าชื่นชม จนทำให้คนที่ดู Scream มาโดยตลอดก็ต้องหลงรักภาคนี้ได้โดยไม่ยาก ในขณะที่แฟนๆ หน้าใหม่อาจจะรู้สึกอิหยังวะ ถ้าไม่ได้ดูภาคเก่าๆ มาก่อน

สรุป

ด้วยการดำเนินเรื่องที่ฉับไว และการยังคงเล่นกับหนังซ้อนหนังอย่าง Stab ก็นับว่าเป็นอะไรที่สร้างสีสันมากๆ สำหรับคอหนังชุดนี้ แม้ว่าหนังจะรู้ตัวอยู่แล้วว่าการหักมุมในยุคนี้ ต่อให้หักยังไงก็ไม่มีอะไรใหม่อีกต่อไปแล้ว ทำให้หนังจึงกลับมาเล่นกับเรื่องราวล้อขนบเดิมๆ ของหนังชุดตัวเองกันยังดีกว่า ซึ่งมันก็สร้างความตลกร้าย ชวนฮาให้กับหนังได้เป็นอย่างดี จนไปถึงการพาไปสู่บทสรุปที่อาจจะเดาไม่ยาก แต่สาแก่ใจคอหนังชุดนี้ซะเหลือเกิน โดยเฉพาะการตราหน้าไปถึงกลุ่มคนทำหนังที่เอาหนังคลาสสิคหรือที่มีคนรักมารีเมคปู้ยี่ปู้ยำให้มันเลวร้ายกว่าเดิมว่า “Don’t fuck with the original.” กันได้แล้ว

รีวิวหนังผี